KTBST มองปี 63 การลงทุนผันผวนแต่ลดลงจากปีก่อน พร้อมมองตราสารทุนยังน่าสนใจกว่าตราสารหนี้ ให้กรอบ SET 1,588-1,787 จุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday December 25, 2019 11:02 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชาตรี โรจนอาภา กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) หรือ KTBST เปิดเผยว่า แนวโน้มภาพรวมการลงทุนในปี 63 จะคล้ายคลึงกับปี 62 ที่ตลาดการเงินมีความผันผวนสูงจากความขัดแย้งทางการค้า การดำเนินนโยบายที่ไม่มีประสิทธิภาพ รวมไปถึงการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร (Brexit) ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกขยายตัวในอัตราที่ช้าลงตามปริมาณการค้าโลกที่หดตัว

อย่างไรก็ตามปี 63 คาดว่าความผันผวนการลงทุนจะต่ำลงจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ 1. การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ในเดือน พ.ย. 63 ซึ่งจากการศึกษาข้อมูลตลาดหุ้นสหรัฐ ในอดีตพบว่าในช่วงการเลือกตั้งจะเกิด "Election rally" คือ ตลาดหุ้นทั่วโลกให้ผลตอบแทนเป็นบวก โดยตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาจะให้ผลตอบแทนในช่วงปีที่มีการเลือกตั้งมากกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลก 2. รูปแบบการกระตุ้นเศรษฐกิจเปลี่ยนจากนโยบายทางการเงิน มาสู่นโยบายทางการคลังในการป้องกันการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Policy switching) โดยนโยบายที่คาดว่าประเทศพัฒนาแล้วจะนำมาใช้คือการลดภาษีนิติบุคคล ซึ่งจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดี 3. สถานการณ์สงครามการค้าเบนเข็มสู่ยุโรป

นายชาตรี คาดว่าข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ในเฟสแรกน่าจะสามารถบรรลุได้ในช่วงเดือนมกราคม ซึ่งจะทำให้ภาคการผลิตเริ่มกลับมาวางแผนผลิตเพื่อเพิ่มสินค้าคงคลังให้กลับมาสู่ระดับปกติ และส่งผลให้เกิดนำเข้าวัตถุดิบและเครื่องจักรเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี หากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ สามารถชนะการเลือกตั้งได้ ก็คาดว่าจะหันกลับมาทำสงครามทางการค้ากับยุโรปเพื่อชดเชยการขาดดุลทางการค้า ตามนโยบาย Keep America great again!

ด้านมุมมองดอกเบี้ย คาดว่าปี 63 ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจมีการลดดอกเบี้ยได้อีก 1 ครั้ง เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้เศรษฐกิจ เช่นเดียวกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการปรับลดลงอีกครั้งให้สอดคล้องกับทิศทางดอกเบี้ยโลก

ในปี 63 บล.เคทีบีฯ ยังให้คำแนะนำเน้นลงทุนในตราสารทุนมากกว่าตราสารหนี้ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกาและยุโรปมากกว่าตลาด เนื่องจากคาดว่ามีโอกาสนำเครื่องมือการคลังมาใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจตลอดจนเสถียรภาพทางการเมืองที่มั่นคง รวมทั้งพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯสามารถสร้างผลประกอบการได้ดีกว่ากลุ่มตลาดเกิดใหม่

สำหรับสินทรัพย์ทางเลือกที่น่าสนใจ ได้แก่ กองทุนอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานจากอัตราเงินปันผลที่สูง ประกอบกับเงื่อนไขของกองทุนรวมเพื่อการออม (Super Saving Fund – SSF) ที่จะเริ่มต้นในปีหน้าเปิดให้ลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ได้อย่างเสรีจึงเป็นโอกาสให้กองทุนเพื่อการออมลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น

ส่วนสินทรัพย์ที่แนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุน คือ ตลาดหุ้นเกาหลี และฮ่องกง จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและความไม่แน่ไม่นอนด้านสงครามการค้า ในขณะที่ตราสารหนี้นั้นแนะนำให้ลดการถือครองเงินสด ซึ่งให้ผลตอบแทนในระดับต่ำและเน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนคุณภาพดีเพื่อเพิ่มผลตอบแทน (Investment grade Bond)

ด้านนายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบีฯ ประเมินปัจจัยและทิศทางตลาดหุ้นไทยในปี 63 ว่า ประเด็นข้อตกลงทางการค้าของสหรัฐและจีน คาดว่าจะบรรลุข้อตกลงการค้าได้บางส่วน ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้นในไตรมาสที่ 2 อีกทั้งธนาคารกลางทั่วโลก จะดำเนินนโยบายดอกเบี้ยต่ำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ส่วนประเทศไทยการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยและกำไรบริษัทจดทะเบียนฟื้นตัวได้ในครึ่งปีหลัง ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทย จะฟื้นตัวตั้งแต่ ครึ่งปีแรกเป็นต้นไป

ทั้งนี้ ประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปี 63 ไว้ที่ 9.8 แสนล้านบาท ขยายตัว 8.2% โดยมีค่า EPS เฉลี่ยอยู่ที่ 94.8 บาท และปี 64 คาดกำไรอยู่ที่ 1.08 ล้านล้านบาท ขยายตัว 10.5% และคิดเป็น EPS เฉลี่ยที่ระดับ 103.6 บาท ทั้งสองปีจะเป็นการขยายตัวมาจากฐานที่ต่ำและผลกระทบจากสงครามการค้าที่คลี่คลายลง ส่วนเป้าหมาย SET INDEX ปี 63 คาดว่าอยู่ที่ 1,725 จุด โดยอิง Forward P/E ที่ 18.2 เท่า หรือ +0.50 SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปี ที่ 16.75 เท่า และคาดการณ์กรอบการเคลื่อนไหว ต่ำสุด-สูงสุด ของ SET INDEX ให้ไว้ที่ 1,588-1,787 จุด

สำหรับหุ้นเด่นในปี 63 ที่คาดว่าจะสามารถให้ผลตอบแทนจากการลงทุนได้ดีในปี 63 และในไตรมาสที่ 1 ได้แก่ 1.) กลุ่มที่ผลการดำเนินงานยังเติบโตดีต่อเนื่อง อาทิ กลุ่มสัมปทานภาครัฐ สินเชื่อรายย่อย หรือหุ้นที่มีการลงทุนใหม่ ๆ ได้แก่ BCH, CBG, GUNKUL, PRM, SPALI, BGC, MTC, SAWAD, OSP , BDMS, และ JMT 2.) กลุ่มที่ราคาหุ้นหรือผลประกอบการอ่อนตัวลงมามากในปี 62 อาทิ น้ำมัน , ปิโตรเคมี , ส่งออก , โรงแรม เช่น ERW, BCP, CPF, TKN , IRPC, PTTEP และ HANA ขณะที่กลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้า (GULF, BGRIM, GPSC) คาดว่าปีทองได้ผ่านไปตั้งแต่ปี 62 แล้ว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ