หุ้นน้องใหม่ส่งท้ายปี 62 บมจ.โรงพยาบาลอินเตอร์เมดิคัล แคร์ แอนด์ แล็บ (IMH) เตรียมลั่นระฆังเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ วันแรก 26 ธ.ค.ภายหลังเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนครั้งแรก(IPO) เมื่อวันที่ 18-20 ธ.ค.ท่ามกลางกระแสวิจารณ์ตั้งราคาไอพีโอ 6 บาทอาจแพงเกินไปหรือไม่ เพราะคำนวณภายใต้ราคาพาร์หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็น P/E สูงถึง 119.35 เท่า !! แต่จากยอดจองหมดเกลี้ยงทั้ง 55 ล้านหุ้น และนักลงทุนสถาบันให้ความสนใจจองซื้อหุ้นด้วย พิสูจน์ว่าได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี
*จุดยืนเป็นหุ้น Growth Stock เมินกระแส P/E แพง
นายสิทธิวัตน์ กำกัดวงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร IMH กล่าวว่า การตั้งราคา IPO ที่มีค่า P/E สูงจะมองว่าเป็นมูลค่าที่แพงเกินไปหรือไม่นั้น คงต้องขึ้นอยู่กับแต่ละมุมมองของนักลงทุน โดยส่วนตัวมองว่าปัจจุบันหุ้นหลายบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯก็มี P/E ต่ำ แต่ก็กลับไม่ได้รับความสนใจ ถ้ามองในทางกลับกันหุ้น IMH ขายหุ้น IPO หมดแล้ว และ มีนักลงทุนสถาบันสนใจเข้ามาถือหุ้นด้วย เป็นสิ่งสะท้อนว่า Sentiment ของหุ้น IMH อยู่ในแนวโน้มค่อนข้างดี
ดังนั้น แม้ว่าปัจจุบันภาวะตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวน แต่มีความเชื่อมั่นว่าไม่น่าจะกระทบกับ Sentiment ของหุ้น IMH ในวันเปิดซื้อขายวันแรก
"ราคาจองซื้อ IPO 6 บาท แม้จะมีคนพูดว่าพี/อีสูง แต่ตลาดหุ้นก็มีหลายบริษัทที่มีพี/อีต่ำก็กลับไม่ได้รับความสนใจ มุมมองผมคิดว่าการให้มูลค่าหุ้นต้องขึ้นอยู่กับธุรกิจและวิสัยทัศน์ ต้องมีความเชื่อ พร้อมลงทุนกับเครดิตบริษัทนั้น หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ไปแล้วต้องการเห็นหุ้น IMH เป็นหุ้น Growth Stock สิ่งที่ต้องทำคือขยายฐานลูกค้าเพื่อรายได้และกำไรเติบโตแบบก้าวกระโดด จากยอดขายการให้บริการ และผลิตภัณฑ์ บนกลยุทธ์ต่อยอดธุรกิจด้วย Big Data"นายสิทธิวัตน์ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
IMH เป็นผู้ประกอบกิจการโรงพยาบาลเอกชนเฉพาะทางด้านอาชีวเวชศาสตร์ ให้บริการตรวจสุขภาพทั้งในและนอกสถานที่ โดยมีรายได้จาก 2 ทาง คือ ธุรกิจให้บริการทางการแพทย์ (Hospital Services) คิดเป็นสัดส่วน 85% ของรายได้รวม ซึ่งมีประสบการณ์ยาวนานกว่า 23 ปี ได้แก่ การให้บริการตรวจสุขภาพประจำปี การตรวจสุขภาพปัจจัยเสี่ยง การตรวจสุขภาพก่อนเข้างาน และการตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว ด้วยทีมแพทย์และพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ พร้อมเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์และห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน สามารถให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศผ่านรถเอ็กซ์เรย์ ขณะนี้มีสาขา 5 แห่ง ได้แก่ ราชพฤกษ์ (ที่ตั้งสำนักงานใหญ่) ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ชลบุรี และระยอง
และรายได้อีก 15% มาจากธุรกิจบริการตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อม (Environment Monitoring Services) ดำเนินธุรกิจมานานกว่า 14 ปี เน้นให้บริการตรวจวัดทางด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในโรงงานและสำนักงาน โดยให้บริการภายใต้การดำเนินงานของบริษัทย่อยที่ชื่อ บริษัท แอคคิวฟาส แล็บ เซ็นเตอร์ จำกัด
*หวังเดินหน้าเข้าตลาดหุ้นช่วยหนุนขยายฐานลูกค้าเพิ่มเท่าตัว
นายสิทธิวัตน์ กล่าวว่า แผนการเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เชื่อว่าจะช่วยปลดล็อกการเติบโตธุรกิจด้านต่างๆ ซึ่งจะทำให้ฐานลูกค้าสามารถเติบโตได้อีกหลายเท่าตัวในระยะเวลาไม่นาน จากปัจจุบันฐานลูกค้าของบริษัทมีอยู่ราว 800,000-1,000,000 คน/ปี เนื่องจากการเข้าตลาดหลักทรัพย์จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ และสร้างการรับรู้ชื่อเสียงของบริษัทในวงกว้าง ซึ่งด้วยลักษณะธุรกิจของ IMH ไม่ได้มีข้อจำกัดเรื่องจำนวนเตียง แตกต่างกับธุรกิจโรงพยาบาลทั่วไปที่ต้องมุ่งเน้นขยายจำนวนเตียง เพื่อเพิ่มรายได้ในการรักษาผู้ป่วย แต่ของบริษัทให้บริการตรวจสุขภาพแบบเคลื่อนที่ทั่วประเทศทำให้สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วมาก
"ธุรกิจการให้บริการตรวจสุขภาพแบบเคลื่อนที่ เปรียบได้กับธุรกิจการแพทย์ต้นน้ำ ทุกคนอยากรู้สุขภาพก่อนที่จะเจ็บป่วย ในอดีตโอกาสเข้าถึงบริการทางการแพทย์น้อย ต้องไปโรงพยาบาลเท่านั้น แต่ถ้าลูกค้ารู้ก่อน ค่าใช้จ่ายรักษาตัวก็ไม่สูง ตรงเทรนด์กับอุตสาหกรรมที่จะทำให้คนไทยรู้สุขภาพตัวเองก่อนจะเจ็บป่วย"นายสิทธิวัตน์ กล่าว
สำหรับเงินที่ได้รับจากการระดมทุนครั้งนี้จำนวน 330 ล้านบาท บริษัทจะนำไปซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ ขยายสาขาเพื่อรองรับกับลูกค้าในแถบภาคตะวันออก ชำระเงินกู้เพื่อลดต้นทุนดอกเบี้ย และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน นำไปใช้ประมูลงานต่างๆมากขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทชี้แจงแผนลงทุนในอนาคต ประกอบด้วย 1.โครงการขยายสาขา (จดทะเบียนเป็นคลีนิค) ให้บริการในเขตพื้นที่ใกล้เคียงนิคมอุตสาหกรรม : โดยปี 63-64 บริษัทจะขยายและปรับปรุงพื้นที่สาขาไม่เกิน 4 สาขา มูลค่าการลงทุนต่อสาขาประมาณ 10-25 ล้านบาท 2.โครงการจัดซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ไม่เกิน 100 ล้านบาท เพื่อลดค่าเช่าเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ และรวมถึงรถ X-RAY ทดแทนอุปกรณ์ที่หมดอายุการใช้งาน
3.โครงการลงทุนและหรือร่วมมือในกิจการอื่นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ บริษัทมองหาโอกาสในการลงทุนในกิจการอื่นเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มโอกาสในการขยายตัวในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องหรือส่งเสริมกับธุรกิจของบริษัท และ 4.โครงการอื่นๆ จากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เนื่องจากบริษัทเป็นสมาชิกกับ สปสช. ซึ่งในปีงบประมาณ 63 สปสช.ประกาศโครงการตรวจสุขภาพผู้ขึ้นทะเบียนใบอนุญาตขับขี่รถยนต์สาธารณะ กรณีที่บริษัทให้บริการแก่ผู้ขับขี่รถยนต์สาธารณะจะสามารถนำไปเบิกกับ สปสช. ได้
*เจาะฐานลูกค้าบริษัทใหญ่-ไม่เน้นแข่งขันราคา
ซีอีโอ IMH กล่าวอีกว่า ปัจจุบันการแข่งขันในธุรกิจดังกล่าวมีมากขึ้น แต่บริษัทจะไม่เข้าไปแข่งขันเรื่องราคา แต่ใช้กลยุทธ์หลักรักษาคุณภาพการให้บริการ ล่าสุด บริษัทมีฐานลูกค้าใช้บริการตรวจสุขภาพเคลื่อนที่ ทั้งกลุ่มแรงงานไทย แรงงานต่างด้าว ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม โดยบริษัททำสถิติให้บริการตรวจสุขภาพสูงสุดได้ถึง 5,000 คนต่อวัน จุดให้บริการตรวจสุขภาพสูงสุด 31 จุดต่อวัน และปี 62 เน้นกลยุทธ์เพิ่มฐานลูกค้าในบริษัทที่มีพนักงานเข้ารับการตรวจสุขภาพ 1,000 คนขึ้นไป
สำหรับฐานลูกค้าเป็นทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่ตลอดจนถึงรายเล็กในหลายภาคอุตสาหกรรม เช่น บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) , บริษัท ไทยฮอนด้า แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด , บมจ. ซีพี ออลล์ (CPALL) ,บริษัท ยูนิลีเวอร์ จำกัด , บมจ.เบทาโกร ,บริษัท ไพโอเนียร์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท คิงเพาเวอร์ จำกัด เป็นต้น
"IMH เป็นหุ้นที่อยู่ถูกที่ ถูกอุตสาหกรรม เพราะอยู่ในอุตสาหกรรม Health Care ที่มีแนวโน้มเติบโตระยะยาว ด้วยโมเดลธุรกิจให้บริการทางการแพทย์นอกสถานที่ โดยยึดหลักการให้บริการแบบคุณภาพสูง แต่ใช้งบประมาณต่ำ ช่วยให้เข้าถึงลูกค้ารายใหญ่ได้เป็นอย่างดี และด้วยประสบการณ์กว่า 23 ปี ทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นบริการตรวจสุขภาพให้กับพนักงาน เช่น แรงงานและพนักงานของบริษัทไทยยูเนี่ยนทั่วประเทศมีกว่า 4-5 หมื่นคน บริษัทสามารถตรวจสุขภาพจบภายในไม่กี่เดือน พนักงานไม่ต้องเสียเวลาไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล เป็นหนึ่งใน jigsaw ช่วยให้ผู้ประกอบการประหยัดต้นทุนได้ส่วนหนึ่ง"
*ประยุกต์ Big Data ต่อยอดธุรกิจแพทย์ต้นน้ำ
นายสิทธิวัตน์ กล่าวว่า ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา บริษัทมุ่งขยายฐานลูกค้าด้วยกลยุทธ์การตลาดแบบ Mass Marketing เป็นลักษณะปูพรมตั้งแต่รายใหญ่ไปจนถึงรายเล็กในกลุ่มผู้ประกอบการทุกอุตสาหกรรมทั่วประเทศ ดังนั้น สิ่งที่บริษัทได้รับคือฐานลูกค้าที่มีความหลากหลาย พ่วงมากับ Big Data ที่เป็นประโยชน์อย่างมากในการทำการตลาดเชิงรุก ซึ่งเป็นลักษณะ Mass Customization เพื่อให้การตลาดมีความลึกและกว้างมากขึ้น สามารถเข้าใจและตอบโจทย์ให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อออกแบบแพ็กเกจบริการให้มีความเหมาะสม สิ่งนี้เรียกว่าเป็นศิลปะการบริหารจัดการทางด้านการแพทย์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างแท้จริง
"Big Data มีความสำคัญอย่างมากในโลกธุรกิจยุคปัจจุบัน เพราะนอกจากเราจะให้บริการตรวจสุขภาพทางการแพทย์แล้ว ยังสามารถต่อยอดขายสินค้าต่างๆพ่วงเข้าไปด้วย อาทิ บริการฉีดวัคซีนพ่วงไปกับการให้บริการตรวจสุขภาพ ,การปฐมพยาบาลเบื้องต้น เป็นต้น ปัจจุบันบริษัทมีฐานลูกค้าประมาณ 800,000-1,000,000 คน/ปี สามารถขายบริการต่างๆเพิ่มเข้าไปได้"
*แจงอัตรากำไรสุทธิปี 60-61 หดชั่วคราวช่วงลงทุนยกระดับบริการเตรียมความพร้อมเติบโต
นายสิทธิวัตน์ เปิดเผยว่า ผลประกอบการในช่วงปี 60-61 อัตรากำไรสุทธิลดลงเมื่อเทียบกับปี 59 เป็นผลจากการยกระดับคุณภาพการให้บริการตรวจสุขภาพนอกสถานที่เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในอุตสาหกรรม อาทิ การซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ ,เพิ่มจำนวนพนักงาน รวมถึงค่าใช้จ่ายเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาด mai เป็นต้น
ทั้งนี้ รายได้รวมในปี 59-61 อยู่ที่ 290.18 ล้านบาท 277.82 ล้านบาท และ 322.92 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่มีกำไรสุทธิ 37.58 ล้านบาท 14.85 ล้านบาท และ 14.06 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 12.95%, 5.35% และ 4.36%
ขณะที่งวด 9 เดือนแรกของปี 62 มีรายได้ 239.30 ล้านบาท กำไรสุทธิ 6.72 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 2.83%
"บางคนทำกำไรก่อนเข้าตลาด บางคนสร้างฐานลูกค้าก่อนเข้าตลาด แต่วันนี้บริษัทกำลังขยายฐานลูกค้า สร้างคุณภาพในการให้บริการเพื่อเพิ่มความสามารถการแข่งขัน ปัจจัยดังกล่าวเป็นส่วนทำให้มาร์จิ้นบริษัทลดลง แต่สิ่งที่ได้รับวันนี้คือคุณภาพ ลูกค้ามีการบอกต่อขยายฐานลูกค้าได้ต่อเนื่อง ซึ่งในอนาคตบริษัทสามารถสร้างรายได้มากขึ้น ต้นทุนที่เป็นค่าใช้จ่ายก็จะลดลงไปโดยธรรมชาติ"นายสิทธิวัตน์ กล่าว
https://youtu.be/kNs0BJJgwJM