ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ ของ TTA ที่ "BBB" แนวโน้ม "Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday December 25, 2019 17:11 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA) ที่ระดับ "BBB" พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทที่ระดับ "BBB" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความเสี่ยงทางธุรกิจที่อยู่ในระดับสูงจากธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจขนส่งสินค้าแห้งเทกองทางเรือและธุรกิจให้บริการวิศวกรรมนอกชายฝั่งที่มีความไม่แน่นอนและผันผวนสูง อันดับเครดิตยังคำนึงถึง ฐานะการเงินที่แข็งแรงของบริษัทซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากเงินสดจำนวนมากในมือ ขณะที่ความพยายามในการขยายไปยังธุรกิจอื่น ๆ ของบริษัทยังไม่ประสบผลสำเร็จนัก อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงความสมดุลของอุปสงค์และอุปทานในอุตสาหกรรมขนส่งสินค้าแห้งเทกองซึ่งจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของค่าระวางเรืออีกด้วย

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

ความเสี่ยงจากธุรกิจหลักที่มีความผันผวนสูง

ความเสี่ยงทางธุรกิจของบริษัทถูกกำหนดจากการที่ธุรกิจหลักทั้ง 2 ธุรกิจ คือ ธุรกิจเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองและธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่งมีความผันผวนสูง โดยทั้งสองธุรกิจสร้างอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) โดยเฉลี่ยให้แก่บริษัทคิดเป็นประมาณ 70%-80%

ในธุรกิจเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกอง ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้อุตสาหกรรมมีความผันผวนคือภาวะอุตสาหกรรมส่วนเกินที่เป็นไปอย่างต่อเนื่องจากการที่อุตสาหกรรมประกอบไปด้วยผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมากและมีการแข่งขันสูงจนส่งผลให้การควบคุมอุปทานเป็นไปได้ยากและเป็นปัจจัยกดดันต่อค่าระวางเรือ

สำหรับธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่ง ผลการดำเนินงานขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมการบริการขุดเจาะนอกชายฝั่งของบริษัทสำรวจและผลิตก๊าซและน้ำมันที่มีความผันผวนและเป็นวัฏจักรขึ้นลงสูง ความไม่แน่นอนเรื่องทิศทางราคาน้ำมันดิบยังคงกดดันต่อธุรกิจขุดเจาะนอกชายฝั่งของบริษัทสำรวจและผลิตก๊าซและน้ำมันในระยะสั้นถึงกลาง นอกจากนี้ บริษัทยังมีความเสี่ยงจากการมีลูกค้าหลักน้อยรายทำให้ความสามารถในการต่อรองราคามีจำกัด โดยผลการดำเนินงานของบริษัทขึ้นอยู่กับการต่ออายุสัญญาจ้างของลูกค้าไม่กี่รายในตะวันออกกลาง

แนวโน้มที่ดีขึ้นของอุตสาหกรรมเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกอง

การปรับตัวด้านอุปทานเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองจะเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนอุตสาหกรรม โดยคาดว่าการเติบโตของอุปทานเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองจะอยู่ในระดับปานกลางในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้า ปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญมาจากจากการจำกัดปริมาณค่ากำมะถันในน้ำมันเชื้อเพลิง (IMO 2020) ที่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป ซึ่งการที่ผู้ประกอบการจะสามารถดำเนินการให้เป็นไปตามกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมดังกล่าวได้นั้น เจ้าของเรือจะต้องติดตั้งอุปกรณ์ Scrubber เพื่อกำจัดกำมะถันส่วนเกิน หรือใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีค่ากำมะถันต่ำ ซึ่งทางเลือกทั้ง 2 แนวทางดังกล่าวล้วนส่งผลทำให้อุปทานลดลง ทั้งนี้ เนื่องจากการติดตั้งอุปกรณ์ Scrubber ใช้เวลาหลายสัปดาห์ ในขณะที่การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีค่ากำมะถันต่ำก็มีต้นทุนที่แพงขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการมีแนวโน้มที่จะเดินเรือในอัตราความเร็วที่ช้าลง นอกจากนี้ กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมดังกล่าวยังส่งผลเร่งให้มีการปลดระวางเรือมากยิ่งขึ้นสำหรับเรือเก่าและเรือที่ไม่คุ้มค่าในเชิงธุรกิจ ทำให้คาดว่าอุปสงค์และอุปทานของเรือสินค้าแห้งเทกองจะอยู่ในระดับที่สมดุลมากขึ้นในรอบหลายปี

ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 ค่าระวางเรือโดยเฉลี่ยของบริษัทอยู่ที่ 10,185 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำ ซึ่งลดลงจาก 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีสาเหตุหลักมาจากภัยพิบัติเหมืองถล่มของบริษัท Vale S.A. ในประเทศบราซิล สภาพอากาศที่เลวร้ายในประเทศออสเตรเลีย และเหตุการณ์ไข้หวัดหมูระบาดในประเทศจีน ในขณะที่บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการเดินเรือเพิ่มขึ้น 5% อยู่ที่ 5,533 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำ

ในปี 2562-2565 สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าค่าระวางเรือ (Time Charter Equivalent -- TCE) โดยเฉลี่ยของบริษัทจะอยู่ระหว่าง 9,800-10,200 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำ และคาดว่าบริษัทยังมีการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าค่าใช้จ่ายในการเดินเรือเฉลี่ยจะอยู่ที่ 5,500-6,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำในช่วงดังกล่าว และคาดว่าบริษัทจะมีรายได้จากธุรกิจเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองอยู่ที่ 5.6-6.3 พันล้านบาทต่อปี และมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทอยู่ที่ 17%-20%

ธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่งยังคงเผชิญกับความท้าทาย

ทริสเรทติ้งประเมินว่าธุรกิจการให้บริการนอกชายฝั่งของบริษัทยังคงเผชิญกับความท้าทายอยู่ ถึงแม้ว่าบริษัทจะมีมูลค่าสัญญาให้บริการที่รอส่งมอบสูงถึงระดับ 210 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2562 อย่างไรก็ดี ทิศทางราคาน้ำมันดิบยังคงมีความผันผวน และบริษัทสำรวจและผลิตน้ำมันและก๊าซก็ยังคงมีความระมัดระวังเรื่องค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ในขณะที่อุตสาหกรรมยังคงเผชิญภาวะอุปทานส่วนเกิน

ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ของปี 2562 บริษัทมีมูลค่าสัญญาให้บริการที่รอส่งมอบที่ 210 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะรับรู้และเป็นฐานรายได้ให้กับบริษัท 27 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2562 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2563 และรวม 108 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2564-2565 อย่างไรก็ดี บริษัทยังคงประสบกับปัญหาอัตราการใช้งานกองเรือที่ต่ำ มูลค่าสัญญาที่บริษัทมี มาจากอัตราการใช้งานของเรือ 3 ลำในระดับสูง ในขณะที่เรืออีก 4 ลำของบริษัทเข้าอู่เย็น (Cold-stacking) ซึ่งแม้ว่าการเข้าอู่เย็นจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลง แต่บริษัทก็ยังมีต้นทุนคงที่ของเรือทั้ง 4 ลำรวมประมาณ 0.9-1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี

สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่งของบริษัทจะมีรายได้รวม 100-120 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีในปี 2562-2565 นอกจากมูลค่าสัญญาให้บริการที่รอส่งมอบแล้ว คาดว่ารายได้ของบริษัทจะมาจากสัญญาเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับงานให้บริการนอกชายฝั่งที่บริษัททำอยู่ รวมทั้งงานรื้อถอน (Decommissioning) ในอ่าวไทย นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะมีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรประมาณ 2-3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีจากเรือขุดเจาะชนิดสามขา (Jack-up Rig) อีกจำนวน 3 ลำซึ่งดำเนินงานโดยบริษัทในร่วมคือ บริษัท เอเชีย ออฟชอร์ ดริลลิ่งค์ จำกัด ทริสเรทติ้งคาดว่าผลการดำเนินงานของส่วนธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่งจะผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว แต่การฟื้นตัวจะยังคงเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกิจนี้จะยังมีผลการดำเนินงานที่ขาดทุนในช่วงประมาณการ ส่วนโอกาสในธุรกิจใหม่ ๆ เช่น งานวางสายเคเบิ้ลใต้น้ำ ถ้าบริษัทได้รับงานและสามารถดำเนินงานได้ประสบผลสำเร็จก็จะช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่บริษัท

รายได้จากธุรกิจอื่น ๆ ยังมีขนาดเล็ก

ทริสเรทติ้งยังได้พิจารณาถึงความพยายามในการเพิ่มความหลากหลายของธุรกิจเพื่อจะช่วยลดความผันผวนจากธุรกิจหลักทั้ง 2 ประเภทของบริษัทด้วย ทั้งนี้ บริษัทได้ลงทุนในธุรกิจอื่น ๆ ที่มีลักษณะที่ไม่เป็นวัฏจักร เช่น ธุรกิจปุ๋ย ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจบริหารจัดการน้ำ และธุรกิจโลจิสติกส์ อย่างไรก็ตาม การลงทุนเหล่านั้นยังไม่ได้สร้างผลตอบแทนที่มีนัยสำคัญต่อกลุ่มมากนัก ทริสเรทติ้งมีมุมมองว่าบริษัทยังคงต้องใช้เวลาในการบริหารธุรกิจที่บริษัทซื้อหรือลงทุนนั้นให้สำเร็จ

ในปี 2562-2565 สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกิจปุ๋ยจะสร้างรายได้ให้บริษัท 2.7-3.2 พันล้านบาทต่อปี และมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทอยู่ที่ระดับ 5%-7% ในขณะที่ธุรกิจอาหาร รายได้หลักมาจากธุรกิจร้านพิซซ่า ฮัท ซึ่งบริษัทเริ่มได้ประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาดจากจำนวนร้านที่มากขึ้น ณ สิ้นเดือนกันยายน 2562 บริษัทมีจำนวนร้าน 144 ร้าน เทียบกับ 108 ร้าน ณ สิ้นปี 2560 โดยบริษัทมีแผนขยายสาขาเพิ่มเติมรวมประมาณ 40 สาขาในระยะ 3 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้จากพิซซ่า ฮัท 1.9-2.5 พันล้านบาทต่อปี และมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทอยู่ที่ 5%-7%

งบการเงินที่แข็งแรงยังคงสนับสนุนอันดับเครดิต

งบการเงินที่แข็งแรงจากการที่บริษัทมีเงินสดในมือจำนวนมากยังเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยลดผลกระทบจากผลการดำเนินงานที่ผันผวนได้ อย่างไรก็ตาม เงินสดในมือก็ลดลงโดยลำดับจากการลงทุนและการซื้อกิจการอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ในปี 2562-2565 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้ 1.3-1.6 หมื่นล้านบาทต่อปี และมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ 8%-10% ซึ่งจะสร้าง EBITDA ที่ประมาณ 1.1-1.5 พันล้านบาทต่อปี และจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ประมาณ 0.5-1 พันล้านบาทต่อปี

ณ สิ้นเดือนกันยายน 2562 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อเงินทุนของบริษัทยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 13% อย่างไรก็ดี ผลประกอบการที่อ่อนแอลงของบริษัทส่งผลให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินอ่อนแอลงจาก 21.9% ในปี 2561 มาอยู่ที่ 8.6% (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ใน 9 เดือนแรกของปี 2562

ในปี 2562-2565 สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อเงินทุนของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 15% ขณะที่อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 20% ในปี 2562 จากผลการดำเนินงานที่อ่อนตัวในช่วง 9 เดือนแรกของปี แต่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 21%-23% ในปี 2563-2565 ซึ่งระดับตัวเลขดังกล่าวถือว่าต่ำสำหรับอันดับเครดิตปัจจุบันของบริษัท ซึ่งถ้าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินของบริษัทอยู่ในระดับต่ำกว่า 20% อย่างต่อเนื่อง จะส่งผลกดดันให้เกิดการลดอันดับเครดิตของบริษัทลงได้

สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าเงินลงทุนของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 500 ล้านบาทในปี 2562 และ ประมาณ 2 พันล้านบาทในระหว่างปี 2563 โดยส่วนใหญ่ใช้สำหรับซื้อเรือขนส่งสินค้ามือสองจำนวน 2 ลำ โดยบริษัทคาดว่าจะใช้เงินกู้จากธนาคารเป็นแหล่งเงินทุนในสัดส่วน 50% และ 400-500 ล้านบาทต่อปีในปี 2564-2565

สภาพคล่องเพียงพอ

ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะยังคงมีสภาพคล่องเพียงพอในช่วง 12-24 เดือนข้างหน้า โดยแหล่งเงินทุนประกอบด้วยเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 6.9 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2561 รวมถึงเงินทุนจากการดำเนินงานประมาณ 0.5-1 พันล้านบาทต่อปี ในขณะที่บริษัทจะลงทุนรวมประมาณ 2.5 พันล้านบาท และหนี้สินที่จะครบกำหนดชำระประมาณ 3.5-4 พันล้านบาท และการจ่ายเงินปันผลซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านบาทต่อปี

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าในปี 2562-2565 ค่าระวางเรือโดยเฉลี่ยของบริษัทจะอยู่ระหว่าง 9,800-10,200 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำ และค่าใช้จ่ายในการเดินเรือเฉลี่ยจะอยู่ที่ 5,500-6,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันต่อลำ

ธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่งของบริษัทจะมีรายได้รวม 100-120 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีในปี 2562-2565

บริษัทจะมีรายได้ 1.3-1.6 หมื่นล้านบาทต่อปีในปี 2562-2565

อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย อยู่ที่ 8%-10% จะมี EBITDA ที่ประมาณ 1.1-1.5 พันล้านบาทต่อปี

มีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ประมาณ 0.5-1 พันล้านบาทต่อปี

เงินลงทุนของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 500 ล้านบาทในปี 2562 และ ประมาณ 2 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2563 และ 400-500 ล้านบาทต่อปีในปี 2564-2565

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถต้านทานความ ผันผวนของทั้งธุรกิจเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองและธุรกิจบริการนอกชายฝั่งได้ และงบการเงินที่แข็งแรงและสถานะสภาพคล่องที่เพียงพอของบริษัทน่าจะยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยค้ำจุนอันดับเครดิตในช่วงอีก 1-2 ปีข้างหน้าต่อไปได้

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทมีค่อนข้างจำกัดในระยะสั้นจากความไม่แน่นอนของผลประกอบการในธุรกิจขนส่งสินค้าแห้งเทกองทางเรือและธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่ง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นได้หากผลประกอบการของบริษัทดีกว่าที่ประมาณการไว้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากธุรกิจขนส่งสินค้าแห้งเทกองทางเรือและธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่ง อันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินของบริษัทอยู่ในระดับต่ำกว่า 20% อย่างต่อเนื่องจากผลประกอบการที่ด้อยลงหรือจากการลงทุนโดยการก่อหนี้ขนาดใหญ่


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ