โบรกเกอร์ประเมินเป้าดัชนี SET ปี 63 อยู่ในช่วง 1,640-1,800 จุด เทรด P/E 14.8-17.0 เท่า อัตราการเติบโตกำไรบริษัทจดทะเบียน (Earning Growth) คาดว่าจะอยู่ที่ 7.0-12.0% ทิศทางการลงทุนมีมุมมองในเชิงบวกหลังสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนคลี่คลายจากที่ทั้งสองฝ่ายเตรียมลงนามข้อตกลงเฟสแรก 15 ม.ค.นี้ น่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวขึ้น และผลักดันให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนดีขึ้น
อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน ในเฟสอื่น ๆ ต่อไปด้วย รวมทั้งการเลือกตั้งสหรัฐฯในปลายปี 63 และความคืบหน้าการถอนตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)
ส่วนบ้านเรายังมีเรื่องงบประมาณปี 63 คาดว่าจะได้เห็นเม็ดเงินเข้าสู่ระบบในช่วงไตรมาส 2/63 และตองติดตามความเคลื่อนไหวการเมืองไทย, การปรับเปลี่ยนมาตรฐานบัญชี ,การประมูล 5G คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกปี 63 ด้วย
สำหรับหุ้นน่าลงทุนปีนี้ โบรกเกอร์ส่วนใหญ่เชียร์หุ้น Domesctic plays อย่างกลุ่มแบงก์, กลุ่มท่องเที่ยว, กลุ่มโรงพยาบาล, กลุ่มค้าปลีก/การบริโภค มอง Valuation ยังถูก และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยโลกต่ำน่าจะค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นได้ตามภาวะเศรษฐกิจ และคาดว่าภาครัฐฯจะมีมาตรการมาช่วยหนุนให้คนหันมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น
แต่ก็มีบางโบรกเกอร์ที่มองหุ้น Global plays น่าสนใจลงทุน อย่างกลุ่มน้ำมัน, กลุ่มโรงกลั่น และกลุ่มโรงไฟฟ้า ยังเล่นตามรอบได้
ดัชนีหุ้นไทยสิ้นปี 62 ปิดที่ 1,579.84 จุด เพิ่มขึ้น 15.96 จุด หรือ 1.02% จากสิ้นปี 61
โบรกเกอร์ เป้าดัชนีฯปี 63 (จุด) P/E (เท่า) Earning Growth(%) กรุงศรี 1,800 17.0 10.0 ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) 1,700-1,750 15.5 7.0 ฟิลลิป (ประเทศไทย) 1,700 17.0 10.0 ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) 1,700 15.0 12.0 ทิสโก้ 1,640 14.8 8.0
*UOBKHST มองภาพลงทุนปี 63 ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก-เล็งปรับพอร์ตหุ้นอิงศก.มากขึ้น
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) หรือ UOBKHST กล่าวว่า ภาพการลงทุนในตลาดหุ้นไทยปี 63 คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นได้ จากกิจกรรมเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น ทำให้ความเสี่ยงลดลง และคนก็จะหันไปปรับน้ำหนักการลงทุนใหม่ โดยลดการลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หันมาลงทุนหุ้นที่อิงเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งในปี 63 คาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทยจะเติบโต 2.8%
อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามประมาณการผลดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน หลังจากที่เริ่มเห็นกำไรฟื้นตัว ทำให้คาดการณ์กำไรน่าจะดีขึ้นในปีนี้ หากไม่มีอะไรแย่ก็ไม่น่าจะมีการปรับลดประมาณการกำไรลง ส่วนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในปี 63 น่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือน พ.ย. ซึ่งจากอดีตที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าผลตอบแทนจากการลงทุนจะดีมากช่วงก่อนการเลือกตั้ง ดังนั้น จึงคาดว่าในช่วงไตรมาส 1-2 ปี 63 น่าจะได้เห็นผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดี
ส่วนบ้านเราก็ยังมีประเด็นที่สภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ในช่วงวันที่ 8-10 ม.ค.คาดว่าจะได้เห็นเม็ดเงินงบประมาณเข้าสู่ระบบในช่วงไตรมาส 2/63 รวมถึงยังต้องจับตาประเด็นการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคำร้องให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ โดยหากมีการยุบพรรคก็อาจทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพมากขึ้น ซึ่งก็จะเป็นบวกต่อตลาดมากขึ้น
สำหรับปี 63 หุ้นที่น่าลงทุนมองกลุ่มพลังงาน พวกต้นน้ำ, กลุ่มโรงกลั่น, กลุ่มท่องเที่ยว ส่วนกลุ่มสาธารณูปโภคให้ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวลง และก็ยังมองหุ้นขนาดเล็กที่จะเป็นม้ามืด โดยมองกลุ่มประกัน อย่างหุ้น บมจ.ไทยรับประกันภัยต่อ (THRE) ,บมจ.ทิพยประกันภัย (TIP) น่าสนใจ พร้อมมองช่วง 3 เดือนข้างหน้ากลุ่มหุ้นที่ปลอดภัยที่ราคาหุ้นได้ปรับขึ้นไปมากแล้ว อย่างพวกกองกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) , โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ คงจะปรับตัวขึ้นไปได้อีกไม่มาก หรือน้อยกว่าตลาดฯ
*PST มองตลาดหุ้นไทยปี 63 ยังผันผวน พร้อมเชียร์หุ้นจำพวก Domesctic plays
น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) หรือ PST กล่าวว่า ทิศทางตลาดในปี 63 มองว่ายังมีความผันผวนอยู่ตามปัจจัยจากภายนอกประเทศ โดยมองการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนคงจะไม่จบง่าย คงต้องมีเฟส 2 ตามมา ซึ่งก็คงจะมีทั้งกระแสในแง่บวก-ลบในระหว่างทาง อีกทั้งในปลายปี 63 จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ส่วนเรื่องการถอดถอนนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐนั้น ยังเป็นปัจจัยที่ยังต้องติดตามต่อไป รวมถึงความคืบหน้า Brexit ด้วย
นอกจากนี้ ในส่วนเศรษฐกิจจีน มีการคาดการณ์ขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 63 ที่เพียง 5.8% ทำให้อาจเห็น Fund Flow ชะลอบ้าง แต่เชื่อว่าจีนจะต้องมีมาตรการกระตุ้นออกมาช่วยประคองเศรษฐกิจ ดังนั้น ระยะยาวยังมองว่าเศรษฐกิจจีนน่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
ส่วนบ้านเราปัจจัยการเมืองเริ่มมีความสำคัญมากขึ้น อาจจะช่วยหนุนหรือฉุดตลาดฯได้ จึงต้องคอยจับตามองอย่างใกล้ชิด รวมถึงปี 63 จะมีการปรับเปลี่ยนมาตรฐานบัญชี ซึ่งก็ต้องรอดูกลุ่มแบงก์และไฟแนนซ์ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง อีกทั้งให้จับตาการประมูล 5G ในช่วงครึ่งแรกปี 63 ด้วย
อย่างไรก็ดี ปีหน้าหุ้นจำพวก Domestic plays น่าสนใจลงทุน ไม่ว่าจะเป็นหุ้นที่ให้ปันผลดี, หุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายของภาครัฐฯ แต่ในระหว่างทางหุ้นจำพวก Global plays ก็อาจจะขยับขึ้นตามกระแสข่าวเจรจาการค้าก็ได้ เพราะหุ้นจำพวก Global plays ที่ผ่านมาก็ถูกเทขายออกมามาก ไมว่าจะเป็นหุ้นกลุ่มพลังงาน, กลุ่มปิโตรเคมี เป็นต้น โดยเชื่อว่าปี 63 นักลงทุนยังคงระมัดระวังการลงทุน
*CGS-CIMB มองหุ้นที่ Underperform จะฟื้นตัวได้หลังเจรจาการค้าคลี่คลาย-เชียร์ Domestic plays
นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) หรือ CGS-CIMB กล่าวว่า ในปี 63 มีปัจจัยที่ยังต้องติดตามทั้งการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนในช่วงต่อไปหลังจากจบเฟสแรก และต้องติดตามการเลือกตั้งในสหรัฐฯในช่วงเดือน พ.ย.รวมถึงกรณี Brexit จะออกมาเป็นอย่างไรหลังจากที่การเลือกตั้งในอังกฤษเรียบร้อยแล้ว ส่วนทิศทางอัตราดอกเบี้ยโลกน่าจะคงที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ถ้าเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ
หุ้นที่น่าลงทุนในปี 63 เป็นหุ้นจำพวก Domestic plays อย่างหุ้นในกลุ่มแบงก์ ที่อาจพื้นตัวขึ้นได้ ซึ่งมองแล้ว Valuation ยังถูก และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยโลกต่ำ หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย ทำให้มองกันว่าอัตราดอกเบี้ยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
นอกจากนี้หุ้นในกลุ่มโรงพยาบาลก็น่าสนใจลงทุน เพราะราคาถูก โดยกลุ่มเทรด P/E 27.8 เท่า ขณะที่อดีตเคคยเทรด P/E ถึง 36-38 เท่า อีกทั้งกลุ่มค้าปลีก/การบริโภค ก็ค่อนข้างถูกในตอนนี้ เทรด P/E 27.9 เท่า จากอดีตที่เทรด P/E 32-33 เท่า ทำให้มองว่าน่าจะค่อย ๆ ดีขึ้นได้ตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้น และภาครัฐฯก็คงจะมีมาตรการมาช่วยหนุนให้คนหันมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น พร้อมกันนี้ให้จับตาการนำมาตรฐานบัญชีใหม่ปี 63 มาใช้แล้วจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง
*TISCO มองบวกต่อตลาดหุ้นไทยปี 63 จากศก.โลกฟื้น-ดบ.นิ่ง/เชียร์ค้าปลีก-ท่องเที่ยว-แบงก์
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ (TISCO) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในปี 63 ยังมีมุมมองเป็นบวกอยู่ จากเศรษฐกิจโลกที่จะฟื้นตัวขึ้น หลังประเด็นสงครามการค้าเริ่มคลี่คลาย แต่ยังต้องจับตาเฟสอื่น ๆ ต่อไปด้วย อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยก็ยังไม่ปรับขึ้น และคาดว่าจะทรงตัวตลอดปี 63
ในส่วนของหุ้นไทยปี 62 นับว่าผลงานไม่ค่อยดี ทำให้ราคาหุ้น Laggard มาก จึงคาดหวังว่าปี 63 นักลงทุนจะมีความมั่นใจมากขึ้นหลังจากที่ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 สามารถผ่านสภาฯไปได้ ส่วนปัจจัยการเมืองในประเทศยังเป็นเรื่องที่ต้องติดตามดูต่อไป นอกจากนี้ ในส่วนของราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นมาได้ดี อันเป็นผลจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายอื่นได้พร้อมใจกันลดกำลังการผลิต แต่ก็จะสิ้นสุดในไตรมาส 1/63 ดังนั้น จะต้องรอดูต่อไปว่าจะทำอย่างไรต่อไป
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจลงทุนในปี 63 มองเป็นหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภายในประเทศ และการท่องเที่ยว โดยแนะนำหุ้นในกลุ่มค้าปลีก อย่างหุ้น บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL), บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) และหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว แนะนำหุ้น บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) รวมถึงหุ้นในกลุ่มแบงก์ก็น่าสนใจลงทุน หลังจากที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมามากเทียบเท่ากับช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในอดีตที่ผ่านมาเลย ทำให้กลุ่มแบงก์น่าสนใจลงทุน เพราะยังมีการจ่ายปันผลมารองรับได้ด้วย
*KSS มองหุ้นไทยปี 63 รีบาวด์หลังเจรจาการค้าคลี่คลาย-หนุนศก.โลกฟื้น/เชียร์ Global plays
นายชัยยศ จิวางกูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี (KSS) กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในปี 63 น่าจะรีบาวด์ขึ้นได้หลังจากที่เจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน คลี่คลายลง โดยสามารถตกลงกันได้ในเฟสแรก ซึ่งน่าจะทำให้ GDP ทั่วโลกควรจะดีขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกดีขึ้น รวมถึงเศรษฐกิจไทยก็จะดีขึ้นไปด้วย และเมื่องบประมาณปี 63 ของไทยผ่านไปได้ก็จะยิ่งช่วยหนุนตลาดฯ อย่างไรก็ดีปี 63 ยังต้องจับตาทิศทางการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แม้ในช่วงครึ่งแรกของปี มองว่าเฟดน่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ก่อน แต่ในช่วงครึ่งปีหลัง เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้วเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ ยังต้องรอดูต่อไป
นอกจากนี้ ให้ติดตามเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนในเฟสที่ 2 ด้วยจะเป็นอย่างไร จะจบได้เร็วหรือช้า และการเลือกตั้งของสหรัฐฯในช่วงปลายปี 63 ส่วนบ้านเราก็ต้องติดตามความเคลื่อนไหวการเมืองในประเทศ
พร้อมมองหุ้นจำพวก Global plays น่าสนใจลงทุน อย่างหุ้นในกลุ่มน้ำมัน และกลุ่มโรงไฟฟ้า ซึ่งมองว่ายังสามารถเล่นตามรอบได้ ส่วนหุ้น Domestic plays จะต้องรอดูว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคจะกระเตื้องขึ้นได้หรือไม่ ซึ่งทางสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ มองว่าปี 63 การใช้จ่ายของบริโภคมองยังชะลอตัวอยู่