นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ (LALIN) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 63 โต 13% มาอยู่ที่ 5.25 พันล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 4.64 พันล้านบาท พร้อมตั้งเป้ายอดขาย 6.2 พันล้านบาท วางแผนเปิดโครงการใหม่ 9-11 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 5-5.5 พันล้านบาท ซึ่งจะเน้นแนวราบที่เจาะกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงที่ยังมีความต้องการซื้อค่อนข้างมาก ประกอบกับเป็นโครงการที่สามารถขายและรับรู้รายได้เข้ามาได้ทันที
สำหรับในปี 63 บริษัทมองว่าเศรษฐกิจในประเทศจะขยายตัวใกล้เคียงหรือดีขึ้นเล็กน้อยจากปี 62 ราว 3% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากอัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวในระดับต่ำ และเม็ดเงินการลงทุนจากภาครัฐที่จะเข้ามาในระบบมากขึ้นในปีนี้หลังจากการใช้จ่ายงบประมาณปี 63 ล่าช้ามาจากปลายปีก่อน
อย่างไรก็ตาม มองว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ในช่วงต้นปี หรือในไตรมาส 1/63 จะยังขยายตัวได้ดีจากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ โดยเฉพาะการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำของธนาคารรัฐ และการกระตุ้นกำลังซื้อจากผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แต่ยังต้องดูระยะต่อไปว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยจะเป็นอย่างไร ซึ่งมองว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยในปีนี้จะเติบโตได้ราว 2-4%
นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ LALIN กล่าวว่า บริษัทวางงบซื้อที่ดินไนปี 63 ไว้ที่ 1-1.2 พันล้านบาท โดยมาจากกระแสเงินสดของบริษัทและกำไรสะสม โดยที่บริษัทยังมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และมีอัตราหนี้สินต่อทุนที่ต่ำเพียง 0.8 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 1.4 เท่า ทำให้มีความสามารถในการขยายธุรกิจต่อไปได้อีกมาก
แผนงานด้านการตลาดในปี 63 จะเน้นเชิงรุกตามคอนเซ็ปต์ National Housing Company ในระดับราคาที่อยู่อาศัยแนวราบตั้งแต่ 2-6 ล้านบาท ซึ่งแบรนด์ LALIN จะต้องเป็น Top of Mind ใน 3 ลำดับแรกในใจผู้บริโภค พร้อมนำกลยุทธ์ Lifestyle Marketing มาสื่อสารกับลูกค้าทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งเป็นการสร้าง Brand Loyalty กับลูกค้าเป้าหมาย สร้างความเชื่อมั่นในทุกมิติ เพื่อให้เกิดการแนะนำและบอกต่อ
ในปีนี้บริษัทจะเน้นต่อยอดสื่อ Digital Marketing ตลอดจนนำ Big Data มาใช้วิเคราะห์และหา Customer Insight รวมถึงระบบ CRM เชิงรุกในรูปแบบ Lalin 4.0 Connection ที่ลูกค้าสามารถรับทราบข่าวสารข้อมูล สื่อสารกับลลิล แบบทูเวย์คอมมิวนิเคชั่นอย่างรวดเร็ว ซึ่งทั้งหมดคือการต่อยอดมาตรฐาน Lalin’s Quality of Living ซึ่งตั้งงบด้านการตลาดในปีนี้ไว้ที่ประมาณ 3-4% ของยอดขาย
ด้านนายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ LALIN เปิดเผยว่า การเปิดโครงการใหม่ของบริษัทในปี 63 จะเน้นไปที่การพัฒนาในแบรนด์ Flagship ที่เป็น Lalin Town ภายใต้แบรนด์ Lanceo และ Lio ทั้งโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม ซึ่งจะพัฒนาในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัดด้วย โดยการพัฒนาโครงการในต่างจังหวัดนั้นบริษัทมีจังหวัดยุทธศาสตร์ที่สนใจอยู่ 10 จังหวัด แต่การตัดสินใจจะต้องพิจารณาถึงแผนการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ และการลงทุนของภาคเอกชน โดยเฉพาะกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เป็นปัจจัยที่ชี้วัดสำคัญ
การเปิดโครงการใหม่ในปีนี้จะแบ่งเปิดตัวเฉลี่ยไตรมาสละ 2-3 โครงการ โดยบริษัทมีที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ไว้แล้ว 50-60% และมีแผนการออกหุ้นกู้เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดอายุในปีนี้มูลค่า 300 ล้านบาท คาดว่าจะออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมในช่วงต้นปี 63 เพื่อนำเงินส่วนหนึ่งมารองรับการซื้อที่ดินด้วย
ขณะที่การบริหารสต๊อกของบริษัทนั้นจะรักษาระดับให้อยู่ที่ 300-400 ล้านบาทในทุกๆ 3 เดือน เพื่อทำให้มีสินค้ารองรับความต้องการซื้อของลูกค้าในแต่ละช่วงอย่างเหมาะสม ส่วนยอดขายรอโอน (Backlog) ขณะนี้อยู่ที่ 1 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยโอนในปีนี้ทั้งหมด อย่างไรก็ตามความท้าทายในปีนี้มองที่การแข่งขันในด้านการพัฒนาโครงการ โดยเฉพาะตลาดแนวราบที่จะมีการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น ทำให้ต้องเน้นทำการตลาดเข้าถึงลูกค้าและเข้าใจความต้องการให้ได้เพื่อแย่งชิงพื้นที่ในตลาด
ส่วนอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของบริษัทในปีที่ผ่านมามีแนวโน้มเพี่มขึ้นมาอยู่ที่ 20-25% จากเดิมที่ 18% เนื่องจากในปีที่ผ่านมาสถาบันการเงินค่อนข้างเข้มงวดกับการพิจารณาสินเชื่อ ทำให้มีลูกค้าถูกปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มขึ้น และสถาบันการเงินยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับสัดส่วนหนี้สินครัวเรือนที่สูงอยู่ และมองว่าแนวโน้มอัตราการปฏิเสธสินเชื่อในปีนี้อาจจะทรงตัว ซึ่งบริษัทจะให้พนักงานขายให้คำปรึกษาเพื่อเตรียมตัวลูกค้าก่อนการยื่นขอสินเชื่อ เพื่อทำให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อไม่เพิ่มขึ้น