ส.นักวิเคราะห์ เผยผลสำรวจความเห็นมอง SET ช่วง Q1/63 เป็นบวก แต่ความตึงเครียดตะวันออกกลาง-เศรษฐกิจในประเทศยังกดดัน

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday January 7, 2020 16:25 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน แถลงผลการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนต่อมุมมองในด้านการลงทุนและคาดการณ์ทิศทางดัชนีราคาหุ้นไทย (SET Index) ในปี 63 ว่า ผลสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน 73.08% มองว่าดัชนีราคาหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 1/63 มีแนวโน้มไปในทิศทางบวก ในขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถาม 15.38% มองไปในทิศทาง Sideways หรือไม่เปลี่ยนแปลงไปจากช่วงสิ้นปี 62 และ 11.54% มองว่าตลาดจะเปลี่ยนแปลงในทิศทางลบ

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนให้เป้าหมายดัชนี ณ สิ้นปี 63 มีค่าเฉลี่ยที่ 1,679 จุด ซึ่งสูงกว่าระดับดัชนี ณ สิ้นปี 62 ที่ 1,579 จุด

สำหรับจุดสูงสุดของ SET Index ในช่วงไตรมาส 1/63 เฉลี่ยอยู่ที่ 1,641 จุด โดยมีผู้ตอบแบบสอบถาม 58.82% ที่คาดว่าดัชนีจะทำจุดสูงสุด 1,601-1,650 จุด และมีผู้ตอบแบบสอบถาม 23.53% คาดว่าจุดสูงสุดจะอยู่ที่ 1,651-1,700 จุด ส่วนจุดต่ำสุดคาดไว้ที่ 1,537 จุด แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่ได้รวมปัจจัยสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและอิหร่าน ซึ่งหากมีความรุนแรงมากขึ้นอาจจะต้องมีการปรับประมาณการจุดต่ำสุดลงอีก

ปัจจัยที่จะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นไทย คือ ภาวะเศรษฐกิจต่างประเทศ ทั้งสหรัฐ ยุโรป และเอเชีย โดยผู้ตอบแบบสำรวจ 73.08% เทคะแนนให้อย่างชัดเจนว่าเป็นผลบวก รองลงมาเป็นทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ด้านปัจจัยลบ คือ ภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ รองลงมาคือปัจจัยด้านการเมืองในประเทศ และการเมืองในต่างประเทศ ซึ่งมีเสียงโหวตเกิน 50%

ผลสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนราว 65.38% ยังคาดการณ์ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ภายในปี 63 ส่วนที่เหลือ 30.77% มองว่ากนง.จะตรึงอัตราดอกเบี้ย

นอกจากนั้น ในหัวข้อข้อเสนอแนะต่อภาครัฐถึงการเร่งนัดนโยบายที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ คือ การกระตุ้นการลงทุน การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การกระตุ้นการบริโภคการใช้จ่าย รวมไปถึงนโยบายการเงินเพื่อลดสกัดการแข็งค่าของเงินบาทด้วย

พร้อมกันนั้น นักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน ยังมีคำแนะนำ 5 หุ้นเด่นในปีนี้ที่ตรงกัน 5 สำนักขึ้นไป ได้แก่

AOT ได้รับปัจจัยหนุนจากการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย และอาคารเทียบเครื่องบินรองจะแล้วเสร็จทำให้สามารถรองรับจำนวนผู้โดยสารได้มากขึ้น

BBL ได้นับปัจจัยหนุนจากราคาปัจจุบันต่ำเพียง 0.7 เท่าของ Book Value และมีระดับ Dividend Yield สูง ส่วนการออกไปลงทุนในธนาคาร Permata ที่อินโดนีเซียจะมีโอกาสทางธุรกิจธนาคารในอินโดนีเซียที่เป็นประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตได้ดี

CPF ภาวะธุรกิจในปี 63 จะดีขึ้น เนื่องจากราคาขายเนื้อหมูมีแนวโน้มที่ดีขึ้นทั้งในจีนและเวียดนามเมื่อเทียบกับปี 62 โดยคาดว่าจะได้ประโยชน์ 1-2 ปีกว่าที่ซัพพลายหมูจะเข้าสู่ภาวะปกติ ขณะเดียวกันยังหันมาให้ความสนใจกับ Delivery Service มากขึ้น ซึ่งบริษัทสามารถพัฒนาได้ ทำให้สามารถควบคุมต้นทุนด้านขนส่งได้ดี

PTT ได้รับปัจจัยหนุนจากราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะหากเกิดปัญหาระหว่างสหรัฐและอิหร่าน นอกจากนี้หากสามารถชนะการประมูลโครงการท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 จะถือเป็นข่าวดีและหนุนราคาหุ้นขึ้นไปอีก อีกทั้งปีปันผลสม่ำเสมอด้วย

PTTEP ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น และแนวโน้มผลประกอบการที่จะดีขค้นอย่างต่อเนื่องตามปริมาณการขายที่สูงขึ้น

อนึ่ง การสำรวจความเห็นครั้งนี้ มีผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด 26 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์จำนวน 19 บริษัท บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนจำนวน 5 บริษัท บริษัทโกลด์ฟิวเจอร์ส จำนวน 2 บริษัท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ