(เพิ่มเติม) TVD ตั้งเป้ารายได้ปี 63 โต 5-7% จากปีก่อน เน้นเพิ่มขีดความสามารถทำกำไรให้ดีขึ้น วางเป้าลดค่าใช้จ่าย 5-10%

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday January 8, 2020 14:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายธนะบุล มัทธุรนนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ บมจ.ทีวีไดเร็ค (TVD) เปิดเผยว่า ในปี 2563 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้เติบโต 5-7% จากปีก่อน โดยเน้นการเพิ่มขีดความสามารถการทำกำไรให้ดีขึ้น และตั้งเป้าลดค่าใช้จ่าย 5-10% ตลอดจนผลักดันยอดขายให้เติบโตในอัตราใกล้เคียงกับภาพรวมธุรกิจทีวีโฮมช้อปปิ้ง ท่ามกลางภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคในปีนี้ที่มีแนวโน้มชะลอตัว

"ในปี 63 เรามุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำกำไรของบริษัทฯ ด้วยการปรับสัดส่วนรายได้ในแต่ละช่องทางการขายให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภค ควบคู่กับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในองค์กรภายใต้โมเดล Lean Strategy เพื่อลดกระบวนการทำงานที่ซ้ำซ้อนกันและเพิ่มศักยภาพการบริหารต้นทุน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราดำเนินการมาระยะหนึ่งและจะเดินหน้าอย่างต่อเนื่องในปีนี้ โดยมีเป้าหมายหลักคือการทำให้ทีวี ไดเร็ค มีกำไรสูงกว่าปีที่ผ่านมา"

อนึ่ง นายธนะบุล เข้ารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารเมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา โดยรับผิดชอบการบริหารใน 2 บริษัท ได้แก่ บมจ.ทีวี ไดเร็ค และบริษัท ทีวีดี ช้อปปิ้ง จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจทีวีโฮมช้อปปิ้ง

สำหรับการดำเนินธุรกิจของ ทีวี ไดเร็ค และ ทีวีดี ช้อปปิ้ง ในปีนี้ ได้วางกลยุทธ์หลักภายใต้โมเดล Omni Channel ที่เชื่อมโยงการขายสินค้าทางออฟไลน์และออนไลน์ในหลากหลายช่องทางให้เกิดประสิทธิภาพอย่างสูงสุด โดยเฉพาะการเพิ่มยอดขายสินค้าผ่านช่องทางทีวีดิจิทัล ทีวีดาวเทียม และช่องทางคอลล์เซ็นเตอร์ Outbound (โทรหาลูกค้า) ซึ่งเป็นช่องทางที่สร้างรายได้หลักและผลกำไร รวมถึงสร้างกระแสเงินสดแก่บริษัทฯ ตลอดจนรักษายอดขายผ่านช่องทางร้านค้าปลีก (TVD Shop) และผ่านสื่อแคตตาล็อก เพื่อปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภค

ขณะเดียวกันจะมุ่งเน้นการเพิ่มยอดขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ที่มีอัตราเติบโตสูงและเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยในปีที่ผ่านมายอดขายทางออนไลน์ของทีวี ไดเร็ค มีอัตราการเติบโตประมาณ 32% สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่ปรับเปลี่ยนมาเลือกซื้อสินค้าทางออนไลน์เพิ่มขึ้น โดยในปี 2563 ตั้งเป้ายอดขายผ่านช่องทางออนไลน์คิดเป็นสัดส่วน 10-15% ของรายได้รวม

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TVD กล่าวว่า สำหรับภาพรวมธุรกิจทีวีโฮมช้อปปิ้งในปีที่ผ่านมา ประเมินว่ามีอัตราการเติบโตประมาณ 7% หรือมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 14,000 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลให้ผู้บริโภคระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยเลือกซื้อสินค้ามากขึ้น แม้ว่ารัฐบาลพยายามออกมาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็ยังไม่ส่งผลให้กำลังซื้อฟื้นตัวอย่างชัดเจน

ขณะที่แนวโน้มธุรกิจทีวีโฮมช้อปปิ้งในปี 2563 คาดว่าภาพรวมตลาดจะเติบโตจากปีก่อนเล็กน้อย เนื่องจากยังคงได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง โดยประเมินว่าภาพรวมธุรกิจทีวีโฮมช้อปปิ้งจะมีอัตราการเติบโต 2-3% จากปีที่ผ่านมา ดังนั้นบริษัทฯ จึงหันมามุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำกำไรให้ดียิ่งขึ้น

"เรามองว่าภาพรวมธุรกิจทีวีโฮมช้อปปิ้งในปีนี้จะไม่ได้เติบโตมากนัก ขณะที่การแข่งขันจะยังคงรุนแรงต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา จากผู้เล่นในธุรกิจที่มีหลายราย อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ไม่ได้หยุดนิ่งที่จะพัฒนาตัวเองเพื่อทิ้งห่างคู่แข่งในธุรกิจเดียวกันให้มากยิ่งขึ้น โดยเรามีการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานภายใน นำข้อมูล (Data) ต่างๆ มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและวิเคราะห์แนวโน้มความต้องการของลูกค้า พร้อมทั้งพัฒนาคอนเทนต์ในช่องทางออนไลน์เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคให้ดียิ่งขึ้น" นายธนะบุล กล่าว

นายธนะบุล กล่าวว่า บริษัทฯเตรียมที่จะขยายช่องทางการขายผ่านทีวีดาวเทียมเพิ่มเติมอีก 3 ช่อง จากปัจจุบันที่มีอยู่แล้ว 3 ช่อง โดยขณะมีการเจรจาได้แล้ว 1 ช่อง และอีก 2 ช่องกำลังอยู่ระหว่างการเจรจา โดยวางงบลงทุนการซื้อสล็อตเวลาของช่องทีวีดังกล่าวไว้ที่ 20-30% ของรายได้รวม

ขณะเดียวกันที่ผ่านมาก็มีผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลมาเสนอขายช่องให้กับบริษัทฯ จำนวน 2-3 ราย ซึ่งบริษัทฯ มีความสนใจที่จะเข้าลงทุน แต่ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจน เนื่องจากต้องพิจารณาถึงเงื่อนไข และรายละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน โดยคาดจะนำไปต่อยอดการขายสินค้าผ่านช่องทางทีวี 24 ชั่วโมง อย่างไรก็ตามหากสามารถสรุปดีลได้แล้วบริษัทฯ ก็มีความพร้อมในด้านแหล่งเงินลงทุน จากปัจจุบันที่มีเงินสดในมือค่อนข้างเพียงพอ และอาจมีการกู้ยืมจากสถาบันการเงินบางส่วน จากปัจจุบันที่มีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่เพียง 1.21 เท่า

ขณะที่ก็เตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เป็นแบรนด์ของบริษัทฯ เองในปีนี้จำนวน 3-4 รายการ ส่วนสินค้าทั่วไปก็จะมีเพิ่มเติมเข้ามาอีกกว่า 100 รายการ

นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการปรับโครงสร้างการทำงานใหม่ หรือการย้ายพนักงานไปในตำแหน่งที่มีความเหมาะสมมากขึ้นเพื่อลดกระบวนการทำงานที่ซ้ำซ้อน และเพิ่มศักยภาพบริหารต้นทุน ซึ่งจะนำระบบซอฟท์แวร์เข้ามาใช้ เพื่อให้การทำงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยปีนี้ตั้งเป้าหมายเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไรให้ดีขึ้นด้วย ด้วยการลดค่าใช้จ่ายลง 5-10% ของค่าใช้จ่ายรวม

ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 62 บริษัทฯ มั่นใจว่าจะมีกำไรสุทธิแน่นอน แม้กำลังซื้อในปีที่ผ่านมาจะชะลอตัวลงไปบ้าง โดยผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกปี 62 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 19.86 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ