ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร "อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ (ระยอง)1" ที่ "A-" แนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday January 8, 2020 17:28 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท อมตะ บี. กริม เพาเวอร์ (ระยอง) 1 จำกัด (ABPR1) ที่ระดับ "A-" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่"

อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงความแน่นอนของกระแสเงินสดที่บริษัทได้รับจากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer -- SPP) นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงเทคโนโลยีซึ่งผ่านการพิสูจน์แล้วที่ใช้ในโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (Cogeneration) ของบริษัท รวมถึงความสามารถในการบริหารโรงไฟฟ้ากังหันก๊าซที่ได้รับการพิสูจน์แล้วของ บมจ.บี. กริม เพาเวอร์ (BGRIM) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของบริษัทอีกด้วย

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

มีกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้จากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)บริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ขนาด 90 เมกะวัตต์กับ กฟผ. เป็นระยะเวลา 25 ปีภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก ซึ่งเงื่อนไขมาตรฐานในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กระบุว่า กฟผ. ตกลงจะรับซื้อไฟฟ้าขั้นต่ำจำนวน 80% ของกำลังการผลิตตามสัญญาซึ่งคำนวณจากจำนวนชั่วโมงที่สามารถดำเนินงานได้ โดยสัญญามีลักษณะแบบไม่ใช้ก็ต้องจ่าย (Take-or-pay Basis) จึงทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดรับที่มั่นคง นอกจากนี้ สูตรคำนวณอัตราค่าไฟฟ้าที่ระบุในสัญญายังมีกลไกลดความเสี่ยงด้านราคาเชื้อเพลิงและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราอีกด้วย

นอกจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่มีกับ กฟผ. แล้ว บริษัทยังมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและไอน้ำระยะยาวกับลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง อีกด้วย โดยเป็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าขนาด 17 เมกะวัตต์และสัญญาซื้อขายไอน้ำจำนวน 14 ตันต่อชั่วโมงซึ่งมีเงื่อนไขระบุปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าและ/หรือไอน้ำขั้นต่ำที่ลูกค้าแต่ละรายมีข้อผูกมัดอยู่

อัตราค่าไฟฟ้าที่บริษัทเรียกเก็บจากลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมนั้นอ้างอิงจากอัตราค่าไฟฟ้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) คิดกับลูกค้าประเภทกิจการขนาดใหญ่ ซึ่งโดยทั่วไปจะมีการปรับราคาเพื่อสะท้อนต้นทุนเชื้อเพลิงผ่านค่าปรับปรุงเชื้อเพลิงหรือค่า Ft (Fuel Adjustment Charge) อย่างไรก็ตาม การปรับค่า Ft นั้นจะมีช่วงเวลาล่าช้า อีกทั้งจำนวนที่ปรับและระยะเวลาก็ยังขึ้นอยู่กับดุลพินิจของหน่วยงานที่รับผิดชอบอีกด้วย

เทคโนโลยีที่ผ่านการพิสูจน์แล้วช่วยลดความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมของบริษัทใช้เทคโนโลยีที่ผ่านการพิสูจน์แล้วจาก Siemens ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอุปกรณ์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมไฟฟ้าชั้นนำของโลก ทั้งนี้ กังหันก๊าซ Siemens SGT 800 มีผลงานที่ได้รับการยอมรับด้วยยอดจำหน่ายมากกว่า 100 ชุดมาตั้งแต่ปี 2540 โรงไฟฟ้าของบริษัทประกอบด้วยหน่วยผลิตไฟฟ้ากังหันก๊าซพร้อมทางปล่อยระบาย (Bypass Stack) จำนวน 2 ชุด ชุดกำเนิดไอน้ำ (Heat Recovery Steam Generator -- HRSG) จำนวน 2 ชุด และหน่วยผลิตไฟฟ้ากังหันไอน้ำจำนวน 1 ชุด ทั้งกังหันก๊าซและกังหันไอน้ำดังกล่าวผลิตโดย Siemens การใช้กังหันก๊าซซึ่งมีทางปล่อยระบายช่วยให้โรงไฟฟ้าของบริษัทมีความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน ตัวอย่างเช่น บริษัทสามารถเดินเครื่องกังหันก๊าซได้อย่างอิสระแม้จะอยู่ในช่วงของการซ่อมบำรุงกังหันไอน้ำหรือช่วงบริหารจัดการโรงไฟฟ้า

บริษัทมีสัญญาซ่อมบำรุงกังหันก๊าซระยะยาวกับ Siemens เป็นระยะเวลา 8 ปีโดยสัญญาจะหมดอายุลงในปี 2563 ทั้งนี้ บริษัทจะขยายระยะเวลาของสัญญาออกไปเป็นหมดอายุในปี 2578 ซึ่งจะครอบคลุมถึงการซ่อมบำรุงใหญ่ของโรงไฟฟ้าอีก 2 รอบ การต่อสัญญาใหม่นั้นเป็นการทำภายใต้ความร่วมมือระหว่าง Siemens และ BGRIM ซึ่งจะช่วยให้โรงไฟฟ้ามีดัชนีความพร้อมสูงขึ้นและมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น

ทั้งนี้ Siemens จะให้บริการซ่อมบำรุงทั้งในด้านของชิ้นส่วนอะไหล่และการปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้ากังหันก๊าซให้ดียิ่งขึ้น การมีสัญญาดังกล่าวช่วยให้บริษัทมั่นใจได้ว่ากังหันก๊าซจะมีความพร้อมในการดำเนินงานและบริษัทจะสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงได้

ความสามารถในการบริหารโรงไฟฟ้าที่ผ่านการพิสูจน์แล้ว บริษัทมีทีมงานของตนเองในการดำเนินงานและซ่อมบำรุงประจำวันที่ได้รับการฝึกอบรมจาก BGRIM ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการดำเนินงานและการซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม ตั้งแต่เริ่มดำเนินงานในปี 2556 โรงไฟฟ้าของบริษัทก็มีผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ามาโดยตลอด ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 บริษัทจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. จำนวน 454 ล้านหน่วย ลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมจำนวน 90 ล้านหน่วย และบริษัทที่เกี่ยวข้อง (โรงไฟฟ้าอื่นในกลุ่ม บี. กริม ที่ตั้งอยู่ในนิคมฯ อมตะซิตี้ ระยอง) อีกจำนวน 40 ล้านหน่วยเพื่อวัตถุประสงค์ในการบริหารจัดการโรงไฟฟ้า ทั้งนี้ จำนวนหน่วยไฟฟ้าที่ขายทั้งหมดลดลง 4.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าเนื่องจากโรงไฟฟ้าเกิดการซ่อมบำรุงนอกแผนงาน

บริษัทจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. คิดเป็นสัดส่วน 77% ของไฟฟ้าที่จำหน่ายทั้งหมด โรงไฟฟ้ามีดัชนีความพร้อมอยู่ที่ 94.9% และมีอัตราความร้อนที่ขนาด 7,521 บีทียูต่อหน่วยซึ่งดีกว่าอัตราความร้อนอ้างอิงตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. ที่ขนาด 8,000 บีทียูต่อหน่วย ในด้านของประสิทธิภาพการใช้พลังงานนั้น โรงไฟฟ้าของบริษัทบรรลุดัชนีชี้วัดความสามารถในการใช้พลังงานปฐมภูมิในการผลิตพลังงานไฟฟ้าและพลังงานความร้อนร่วมกัน (Primary Energy Saving -- PES) ซึ่งทำให้ได้รับค่าไฟฟ้าเพิ่มเติมจากค่าการประหยัดการใช้เชื้อเพลิง (Fuel Saving -- FS) ที่อัตรา 0.36 บาทต่อหน่วยจาก กฟผ.

ผลการดำเนินงานทางการเงินเป็นไปตามความคาดหมาย บริษัทมีรายได้และกำไรที่มั่นคงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยในช่วงปี 2559-2561 บริษัทมีรายได้อยู่ในระดับ 2.50-2.60 พันล้านบาทต่อปี และมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายอยู่ในระดับ 728-741 ล้านบาทต่อปี โดยในช่วงดังกล่าว รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. คิดเป็น 73% ของรายได้ทั้งหมด ในขณะที่รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมคิดเป็น 23% และรายได้จากการจำหน่ายไอน้ำให้แก่ลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมคิดเป็น 3% ส่วนที่เหลืออีก 1% เป็นการจำหน่ายให้แก่บริษัทที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าที่ตั้งในนิคมฯ อมตะซิตี้ ระยอง เพื่อช่วยรักษาสมดุลในการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าที่ตั้งอยู่ในนิคมฯ ดังกล่าว

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 รายได้ของบริษัทเท่ากับ 1.86 พันล้านบาท ลดลง 0.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าเนื่องจากปริมาณไฟฟ้าที่จำหน่ายให้แก่ลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมลดลง บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายลดลง 11% เหลือ 497 ล้านบาทซึ่งเป็นผลจากการมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการซ่อมบำรุงนอกแผนงาน

ความสามารถในการชำระคืนหนี้อยู่ในระดับพอใช้ ในเดือนเมษายน 2560 บริษัทได้กู้เงินจำนวน 3.88 พันล้านบาทจาก บริษัท อมตะ บี. กริม เพาเวอร์ เอสพีวี1 จำกัด (ABPSPV) ในลักษณะของเงินกู้ยืมระหว่างบริษัทเพื่อนำไปชำระคืนหนี้เงินกู้โครงการจากธนาคารทั้งหมด ทั้งนี้ ตารางการชำระคืนเงินกู้ยืมระหว่างบริษัทนั้นเหมือนกับกำหนดการชำระคืนหุ้นกู้ที่ออกโดย ABPSPV ภาระในการชำระคืนหนี้เงินกู้ของบริษัทในแต่ละปีมีจำนวนที่ค่อนข้างแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญโดยยอดชำระมีจำนวนตั้งแต่ 15 ล้านบาทไปจนถึง 747 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2575 บริษัทไม่มีภาระในการชำระคืนเงินต้นในปี 2561 รวมถึงในปี 2562 ในปี 2568 และในปี 2574 ทั้งนี้ ภาระคืนเงินต้นงวดแรกจะเกิดขึ้นในเดือนเมษายน 2563 ซึ่งบริษัทจะต้องบริหารสภาพคล่องและสำรองเงินสดไว้เพื่อรองรับการชำระคืนเงินกู้ที่มีจำนวนสูงในบางปี

ณ เดือนกันยายน 2562 บริษัทมีเงินสดคงเหลือเท่ากับ 1.00 พันล้านบาท ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่ระดับ 641-765 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2562-2565 ทั้งนี้ บริษัทมีเงินสดในมือรวมกับประมาณการกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่สูงกว่าภาระคืนเงินกู้จำนวน 747 ล้านบาทในปี 2563

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

ในระหว่างปี 2562-2565 ทริสเรทติ้งตั้งสมมุติฐานให้โรงไฟฟ้าของบริษัทมีค่าดัชนีความพร้อมอยู่ในช่วง 92.6%-98%

สัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. จะอยู่ที่ 90 เมกะวัตต์และกับลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมจะอยู่ที่ 17 เมกะวัตต์ รวมทั้งจะมีสัญญาซื้อขายไอน้ำกับลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมจำนวน 14 ตัน/ชั่วโมง

ในระหว่างปี 2562-2565 ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะมีรายได้ที่ระดับ 2.37-2.88 พันล้านบาทต่อปีและจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่ระดับ 640-760 ล้านบาทต่อปี โดยจะมีเงินสดในมืออยู่ที่ประมาณ 680 ล้านบาทถึง 1.10 พันล้านบาท

ค่าใช้จ่ายเพื่อการซ่อมบำรุงจะอยู่ที่ปีละ 12-30 ล้านบาท

ภาระคืนเงินต้นเงินกู้ยืมระหว่างบริษัทจะเริ่มชำระในปี 2563

แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถดำเนินงานโรงไฟฟ้าได้อย่างราบรื่นและสามารถสร้างผลกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายที่แน่นอนได้ประมาณ 640-760 ล้านบาทต่อปี

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง การปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทยังมีโอกาสค่อนข้างจำกัดในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้า ส่วนการปรับลดอันดับเครดิตนั้นอาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทมีผลการดำเนินงานหรือสถานะทางการเงินที่ถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญจนส่งผลกระทบต่อความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของบริษัท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ