นายสุวัชชัย วงษ์เจริญสิน ประธานกรรมการ บมจ.ซีพีแอล กรุ๊ป (CPL) เปิดเผยว่า บริษัทวางเป้าหมายรายได้ปีนี้ที่ระดับ 2.5-2.7 พันล้านบาท โดยส่วนใหญ่ยังมาจากธุรกิจฟอกหนังที่ 1.8-2.0 พันล้านบาท โดยคาดว่าจะรักษาระดับคำสั่งซื้อของลูกค้าในเกณฑ์ปกติ 22-23 ล้านตารางฟุต ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ขณะที่ธุรกิจยังคงมีความท้าทายจากการที่ไม่สามารถขายสินค้าราคาสูงขึ้นด้วย เพราะยังมีสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ทั้งในส่วนของการเจรจาการค้า การย้ายฐานการผลิต ตลอดจนความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
ขณะที่รายได้อีกส่วนที่เหลือจะมาจากธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคล (เซฟตี้โปรดักส์) ภายใต้แบรนด์ "แพงโกลิน" ซึ่งในปีที่ผ่านมาธุรกิจเซฟตี้โปรดักส์ มีรายได้อยู่ที่ 700 ล้านบาท และในปีนี้ทีมงานพยายามเน้นถึงฐานลูกค้าใหม่และตลาดสินค้าทดแทน โดยตั้งเป้าการตลาดเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 10% ขณะเดียวกันยังได้แตกสายผลิตภัณฑ์ใหม่และมุ่งเน้นงานที่เป็น Solution Project มากขึ้น รวมถึงปรับปรุงสาขาในประเทศ และแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายสินค้าในเมียนมา และมีการลงทุนในเวียดนาม เพื่อเริ่มดำเนินกิจกรรมทางการตลาดของทั้งสองประเทศในกลุ่ม CLMV
ทั้งนี้ บริษัทได้เพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยขยายสายผลิตภัณฑ์ไปในส่วนของงานวิศวกรรม และสินค้าที่เป็นไฮ-เทคโนโลยีมากขึ้น จากเดิมที่บริษัทมีกำลังการผลิตรองเท้านิรภัย 80,000 คู่ต่อเดือน และหมวกนิรภัย 60,000 ใบต่อเดือน ซึ่งเป็นสินค้าหลักและยังมีสินค้าที่ป้องกันภัยส่วนบุคคล รวมถึงอุปกรณ์การอำนวยความสะดวกและการจราจรในสถานประกอบการ บริษัทได้เริ่มทำตลาดในสินค้าประเภทชุดป้องกันสารเคมี หน้ากาก หมวก ป้องกันสารพิษและฝุ่นละออง อีกทั้งอุปกรณ์สำหรับป้องกันการตกหล่นจากที่สูง ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า
"ธุรกิจเซฟตี้ โปรดักส์ ปีนี้คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มมากขึ้นจากปีก่อนในอัตราประมาณ 10% จากความต้องการสินค้าป้องกันภัยส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้น จากโครงการต่าง ๆ ของทางภาครัฐและเอกชนโดยเฉพาะการเดินหน้าของโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่จะมีการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่อีกด้วย รวมทั้งผู้ประกอบการภาคเอกชนเริ่มตระหนักถึงมาตรฐานความปลอดภัยในการทำงาน ทำให้สินค้าเซฟตี้ โปรดักส์มีความต้องการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง"นายสุวัชชัย กล่าว
นายสุวัชชัย กล่าวอีกว่า สำหรับในปี 62 บริษัทยังสามารถทำตลาดในธุรกิจฟอกหนังได้ดี โดยมีปริมาณการสั่งซื้อสินค้าจากลูกค้าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน ๆ โดยมียอดรับคำสั่งซื้อในปริมาณ 20-24 ล้านตารางฟุตต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นการรักษาระดับคำสั่งซื้อไว้ได้ แม้ว่า ในปีที่ผ่านมา ธุรกิจฟอกหนังจะอยู่ในภาวะชะลอตัวจากปัญหาทางเศรษฐกิจภายนอกที่เข้ามามีผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ซึ่งเป็นหนึ่งในคู่ค้าหลักของบริษัท
รวมถึงการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในแต่ละประเทศ และปัญหาเศรษฐกิจยุโรปทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ตลอดจนความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้ในปีที่ผ่านมาสินค้าส่งออกของบริษัทมีการรับรู้รายได้ที่น้อยลงกว่าเดิม
อย่างไรก็ตามแม้จะเผชิญกับภาวะที่ยากลำบาก แต่บริษัทยังมั่นใจในด้านการตลาด การขายและการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้ารายหลัก ทำให้สินค้าของบริษัทยังคงได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์ผู้ผลิตสินค้าชั้นนำของโลก ที่ยังคงส่งคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
"ปีนี้บริษัทจะยังคงได้รับคำสั่งซื้อในปริมาณเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น จากการปรับปรุงการผลิตและการขายให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทได้ขยายการลงทุนและปรับปรุงระบบการผลิตให้มีมาตรฐานเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 30% เพื่อรองรับตลาดอื่นๆ รวมถึงผู้ร่วมทุนหรือพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่ ๆ โดยเฉพาะการลงทุนในธุรกิจฟอกหนังสำเร็จรูป (Finished Leather) ที่ฝ่ายบริหารอยู่ระหว่างการเจรจาการค้ากับลูกค้ารายใหม่เพิ่มเติม ขณะเดียวกัน บริษัทได้ปรับสัดส่วนการผลิตหนังดิบ จากเดิมเป็นการผลิตเพื่อส่งออกทั้งหมดเป็นการผลิตเพื่อใช้ในกิจการประมาณ 50% ของระบบผลิตรวม เพื่อรองรับคำสั่งซื้อของลูกค้าจากแบรนด์สินค้าต่างๆ ทำให้สามารถบริหารจัดการสินค้าได้ดีขึ้น และการบริหารสินค้าคงคลังของบริษัทมีประสิทธิภาพมากขึ้น"นายสุวัชชัย กล่าว