นพ.อำนาจ เอื้ออารีมิตร กรรมการและผู้อำนวยการโรงพยาบาล บมจ. เอกชัยการแพทย์ (EKH) เปิดเผยว่า โรงพยาบาลเปิดตัว "ศูนย์กุมารเวชแห่งใหม่" เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพต้านการให้บริการทางการแพทย์ให้ครอบคลุมทุกบริการ ซึ่งจะมีทีมกุมารแพทย์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะทางสำหรับเด็ก รวมถึงพยาบาล และมีความพร้อมในการนำเทศโนโลยี นวัตกรรมทางการแพทย์ที่ทันสมัยมาใช้ในการบริการ ครบทุกสาขา พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ได้รับการฝึกอบรมอย่างมืออาชีพ ซึ่งมีประสบการณ์สูงในการดูแลผู้ป่วยเด็กแบบ One Stop Service ด้วยงบลงทุนกว่า 300 ล้านบาท
จุดเด่นของศูนย์กุมารเวชแห่งนี้ ประกอบด้วยจำนวนเตียงให้บริการรวม 60 เตียงให้บริการตรวจรักษาผู้ป่วยเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 14 ปี โดยมีกุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่การดูแลพัฒนาการของลูกน้อยตั้งแต่ในครรภ์ด้วยแพทย์เฉพาะทางด้านเด็กคลอดก่อนกำหนด ให้บริการตรวจรักษาผู้ป่วยเด็กในโรคต่าง ๆ ได้แก่ การตรวจสุขภาพเด็ก โรคระบบทางเดินหายใจและปอด โรคระบบทางเดินอาหาร โรคภูมิแพ้ โรคหู คอ จมูก โรคไต โรคสมอง และระบบประสาท โรคเลือด โรคระบบต่อมไร้ท่อ โรคเบาหวาน รวมถึง ด้านการโภชนาการ การดูแลทารกน้ำหนักตัวน้อย การดูแลทารกคลอดก่อนกำหนด การตรวจการได้ยินในเด็กทารก การวินิจฉัยพัฒนาการเด็ก การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค การฉีดวัคซีนต่าง ๆ
นอกจากนี้ ยังสามารถให้บริการด้านจิตเวชเด็ก เช่น การดูแลพัฒนาการในแต่ละช่วงอายุ รักษาความบกพร่องพัฒนาการเด็ก โรคออทิสติก สมาธิสั้น ความบกพร่องด้านการเรียนรู้ และ การตรวจวัด IQ เด็ก พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการ เพื่อให้ผู้ปกครองได้มั่นใจในมาตรฐานการให้บริการของศูนย์สุขภาพเด็ก และลดความกังวลใจในอาการของลูก และได้รับความพึงพอใจสูงสุด
"EKH มีความมุ่งมั่นในการหาแนวทางในการรักษาผู้ป่วยเด็กที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งศูนย์กุมารเวชแห่งใหม่นี้ มีความพร้อมทั้งเรื่องสถานที่ บุคลากร และอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อให้ผู้ปวยเด็กที่มาใช้บริการได้มีโอกาสข้าถึงการรักษาได้อย่างทั่วถึง"นพ.อำนาจกล่าว
นพ.อำนาจ คาดว่า สัดส่วนรายได้ของศูนย์กุมารเวชในปีนี้จะคิดเป็น 25% ของรายได้รวม โดยตั้งเป้าเติบโตปีละ 20% คาดใช้เวลา 6 ปีคืนทุน และมีโอกาสที่สัดส่วนรายได้ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของรายได้รวม เนื่องจากอัตรากำไร (มาร์จิ้น) จากแผนกเด็กสูงกว่าแผนกอื่นๆ
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 63 คาดว่ารายได้จะทำสถิติสูงสุดต่อเนื่องแตะ 1 พันล้านบาทจากปี 62 ที่มีรายได้รวมกว่า 800 ล้านบาท ซึ่งเกินจากเป้าที่คาดว่าจะทำได้ 700 ล้านบาท แต่ในแง่ของกำไรอาจไม่ได้เติบโตมากเท่าปี 62 เพราะมีค่าใช้จ่าย-ค่าเสื่อมเป็นตัวถ่วง โดยปัจจุบันมีค่าใช้จ่ายต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 1.6 ล้านบาท หลังจากนี้จะต้องพยายามควบคุมค่าใช้จ่าย ด้วยการไม่เพิ่มจำนวนบุคลากร ยกเว้นแพทย์ และแพทย์เฉพาะทางที่เป็นพาร์ทไทม์