บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT)ระบุแผนธุรกิจ 5 ปี(51-55) ตั้งงบลงทุน 2 หมื่นล้านบาท โดยในปีนี้เตรียมลงทุนกว่า 8 พันล้านบาท ขยายธุรกิจทั้งด้านโรงแรมและอาหาร ทั้งธุรกิจเดิมและเทคโอเวอร์แบรนด์ใหม่จากต่างประเทศ 2-3 ราย และในปีหน้ายังลงทุนต่อเนื่อง นอกจากนั้น ปี 51 ยังตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 12-15% จากการเปิดสาขาร้านอาหารและโรงแรมใหม่อีกหลายแห่ง พร้อมไปกับการปรับราคาสินค้าและค่าห้องพักเพิ่มให้สอดคล้องกับต้นทุน ซึ่งน่าจะทำให้อัตรากำไรสุทธิในปีนี้สูงกว่า 11% ในปีก่อนด้วย
นางปรารถนา มโนมัยพิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน MINT กล่าวว่า เงินลงทุนในปีนี้แบ่งออกเป็น ใช้ในการขยายธุรกิจเดิมทั้งด้านโรงแรมและอาหาร 5 พันล้านบาท ส่วนอีก 3 พันล้านบาทจะใช้ในการซื้อกิจการแบรนด์โรงแรมและอาหารของต่างประเทศเข้ามาเพิ่มเติม 2-3 ราย โดยคาดว่าในช่วงไตรมาส 2/51 จะได้ข้อสรุปอย่างน้อย 2 ราย
ทั้งนี้ บริษัทจะเข้าซื้อกิจการโรงแรมใหม่ 2 แห่ง เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาวขึ้นไป และแบรนด์ใหม่ในกลุ่มอาหาร 1 ราย เน้นแบรนด์ที่สามารถขายเฟรนไชส์ไปต่างประเทศได้ โดยบริษัทคาดว่าจะใช้เงินลงทุนมาจากผู้ถือใบสำคัญแสดงสิทธิ(วอร์แรนต์)ที่จะเข้ามาใช้สิทธิแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญเมื่อครบกำหนดในวันที่ 28 มี.ค.นี้ รวมประมาณ 1 พันล้านบาท รวมกับที่แปลงสภาพครั้งก่อน(ก.พ.51) 500 ล้านบาท
"ร้านอาหารที่จะเข้าเทกโอเวอร์ต้องมีแบรนด์เป็นของตัวเอง และขยายไปต่างประเทศได้ เพราะเน้นขยายแฟรนไชส์ ส่วนโรงแรม มองว่า ต้องมีแบรนด์เป็นของตัวเอง เป็นโรงแรมที่เข้ากับ portfolio ของเราได้ เราไม่เอา 3 ดาว ก็คงเป็นโรงแรม 4 ดาวขึ้นไป" นางปรารถนา กล่าว
MINT ตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 51 เติบโตราว 12-15% ซึ่งจะมาจากทั้งธุรกิจโรงแรมและอาหาร ที่มีการขยายสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้จะมีการเปิดโรงแรมใหม่ คือ Anantara Phuket ในเดือน ก.ย.51, Anantara Resort Seminyak ที่ Bali จะสร้างเสร็จสมบูรณ์และเปิดในไตรมาส 1/51, Anantara Desert Island ที่ Abu dhabi และ Tiara Palm ที่ Dubai ซึ่งจะเปิดในครึ่งปีหลังปีนี้
ขณะที่ธุรกิจที่อยู่ศัย (Residential Property) คาดว่า ST Regis Hotel & Resident Bangkok จะเปิดให้จองได้ตั้งแต่ครึ่งปีแรกนี้ และคาดว่าจะปิดการขายได้ปี 52
ด้านธุรกิจอาหาร จะขยายสาขาร้านอาหารเพิ่มอีก 104 แห่ง เป็น 949 แห่งในปีนี้ โดยสาขาใหม่จะอยู่ในต่างประเทศ 47 แห่ง ซึ่งในจำนวนนี้ 16 แห่งจะอยู่ในประเทศจีน ทั้งเดอะพิซซ่าและซิสเลอร์ หลังจากที่บริษัทได้เลิกกิจการร้านเลอ แจ้สในจีนที่มีผลขาดทุนไปแล้ว แต่ในปีนี้ธุรกิจร้านอาหารในจีนยังน่าจะขาดทุนต่อเนื่องจากปีก่อนที่ขาดทุน 25 ล้านหยวน แม้ว่าจะลดลงจากปี 49 ที่ขาดทุน 32 ล้านหยวน และเชื่อว่าในปี 52 น่าจะถึงจุดคุ้มทุนและทำกำไรได้
ขณะที่ Coffe Club จากออสเตรเลีย จะขยายแฟรนไชส์มาที่ไทยปีนี้เป็นปีแรก โดยตั้งเป้าขยาย 4 สาขา
นอกจากนั้น ในปีนี้ธุรกิจอาหารได้การปรับขึ้นราคาประมาณ 3-5% ส่วนธุรกิจโรงแรมปรับราคาขึ้นมา 5-10% เพื่อให้ชดเชยกับต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ปีนี้มาร์จิ้นเราจะดีขึ้น ไม่ใช่เพราะว่าจาการปรับราคาอย่างเดียว แต่มาจากการเพิ่มประสิทธิภาพ และการเปิดโรงแรมใหม่และสาขาร้านอาหาร
โครงสร้างรายได้ในช่วง 5 ปีนี้ ธุรกิจอาหารมีสัดส่วน 45% ธุรกิจโรงแรม 40% และที่เหลืออสังหาริมทรัพย์
นอกจากนี้ในการประชุมคณะกรรมการบริษัทในวันพรุ่งนี้ (6 มี.ค.) จะเสนอขอวงเงินออกหุ้นกู้ เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งในการระดมทุน โดยขณะนี้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทยังต่ำอยู่ที่ประมาณ 0.8 เท่า
--อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/ศศิธร/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--