โบรกฯ แนะ"ซื้อ" ERW ชูผลงานปี 63 พลิกโตโดดเด่น รับแผนเปิดโรงแรมใหม่หนุน-JW Marriott กลับมาเปิดให้บริการ

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday January 20, 2020 14:05 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ แนะนำ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW) แม้ว่าแนวโน้มผลงานไตรมาส 4/62 มีโอกาสเติบโตต่ำกว่าคาด เหตุรายได้เฉลี่ยต่อห้อง (RevPar) ในเดือน ธ.ค.62 พลิกหดตัวจากปัจจัยเงินบาทแข็งค่าและการแข่งขันราคารุนแรง กระทบค่าห้องพักเฉลี่ยลดลง เพราะหั่นราคาแย่งชิงลูกค้าในช่วงไฮซีซั่นท่องเที่ยว แต่เชื่อหลังรายงานงบการเงินปี 62 แล้วราคาหุ้นมีโอกาสพลิกกลับมา Outperform รับแรงหนุนทิศทางกำไรปี 63 ที่จะกลับมาขยายตัวในเชิงบวกอีกครั้ง

ทั้งนี้ ในปีนี้ ERW จะไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษตั้งสำรองพนักงาน และยังได้รับผลบวกหลังจากโรงแรมใหญ่ JW Marriott กลับมาให้บริการตามปกติ สามารถขยับขึ้นค่าห้องพักเฉลี่ย 3-5% พร้อมกับเปิดให้บริการโรงแรมกลุ่ม HOP INN ที่มีรายได้เฉลี่ยต่อห้องเติบโตได้ดีเพิ่มอีก 7 แห่ง ณ สิ้นปี 62 มีโรงแรมในเครือทั้งหมด 70 แห่ง ห้องพักรวม 9,500 ห้อง พร้อมมองบวกในด้าน Valuation เพราะมีมูลค่าซื้อขายที่ระดับ -1.5SD ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี มีอัพไซด์จากราคาพื้นฐานที่น่าสนใจเข้าซื้อสะสม

พักเที่ยง ราคาหุ้น ERW อยู่ที่ 5.15 บาท ลดลง 0.10 บาท หรือ 1.90% ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย ลดลง 0.55%

          โบรกเกอร์                          คำแนะนำ                    ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
          ไทยพาณิชย์                            ซื้อ                             7.20
          ฟิลลิป (ประเทศไทย)                    ซื้อ                             6.40
          หยวนต้า (ประเทศไทย)                  ซื้อ                             7.40
          เคทีบี (ประเทศไทย)                    ซื้อ                             6.00
          เอเซีย พลัส                           ซื้อ                             7.50
          ฟินันเซีย ไซรัส                         ซื้อ                             7.20
          เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)           ซื้อ                             7.20
          ทรีนีตี้                                ซื้อ                             6.70

นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยฯ ปรับลดราคาพื้นฐานของ ERW มาเหลือ 6 บาท จากเดิมที่ 7.10 บาท แต่ยังคงคำแนะนำ"ซื้อ"เนื่องจากทิศทางกำไรสุทธิในไตรมาส 4/62 มีโอกาสอาจต่ำกว่าคาด แม้ว่าแนวโน้มรายได้เฉลี่ยต่อห้องทั้งหมด (RevPar) ในเดือน ต.ค.-พ.ย.62 จะสามารถพลิกกลับมาเป็นบวกได้ประมาณ 3% แต่ในเดือน ธ.ค.62 กลับมาหดตัวลงอย่างรุนแรงเป็นตัวเลขสองหลักเนื่องจากค่าห้องพักเฉลี่ย ปรับตัวลงแรง โดยเฉพาะโรงแรมในพื้นที่กรุงเทพฯ ส่วนหนึ่งเกิดจากค่าเงินบาทแข็งค่าและการแข่งขันรุนแรงทำให้ ERW ต้องลดราคาเพื่อแย่งชิงลูกค้ากระทบต่อ RevPar ในไตรมาส 4/62 จะยังมีโอกาสติดลบ

ดังนั้น จึงต้องปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 62 และปี 63 อย่างไรก็ตาม ยังคาดหวังเห็นการกำไรสุทธิในปี 63 จะกลับมาเติบโตได้ดีประมาณ 12% เมื่อเทียบกับฐานปี 62 เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษในส่วนของการตั้งสำรองพนักงาน และมีโอกาสปรับขึ้นค่าห้องราว 3-5% หลังจากปรับปรุงโรงแรมใหญ่อย่าง JW Marriott แล้วเสร็จแล้ว พร้อมกับมีปัจจจัยบวกจากการเปิดโรงแรม HOP INN ที่มีรายได้เฉลี่ยต่อห้องเป็นบวกได้อย่างต่อเนื่องเพิ่มอีก 7 แห่ง

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยฯ ยังแนะติดตามปัจจัยเสี่ยงผลกระทบจากการใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ TFRS16 เรื่องของสัญญาเช่า ซึ่งจะทำให้มีค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าเสื่อมและดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น ปัจจุบันยังไม่ได้รวมไว้ในประมาณการกำไรสุทธิปี 63 นอกจากนั้นแนวโน้มค่าเงินบาทที่แข็งค่าอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อการท่องเที่ยวไทยในระยะถัดไปอย่างไร

"ในช่วงเวลากว่า 1 เดือนราคาหุ้น ERW ปรับตัวลดลงมามากเกือบ 20% เป็นผลกระทบเชิงลบกับปัจจัยเงินบาทแข็งค่า และรายได้เฉลี่ยต่อห้องทั้งหมดในเดือนสุดท้ายของปี 62 พลิกกลับมาหดตัวรุนแรง สร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุนที่เคยซื้อเก็งกำไรไปในช่วงก่อนหน้านี้ แต่เราเชื่อว่าการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ERW น่าจะยัง Underperform ต่อเนื่องไปจนถึงช่วงที่ผลประกอบการไตรมาส 4 และปี62 รายงานออกมาในวันที่ 24 ก.พ.63 ดังนั้น โอกาสซื้อสะสมควรเป็นช่วงงบใกล้ประกาศ เพราะปัจจุบัน Valuation ของหุ้น ERW ซื้อขายที่ระดับ -1.5SD ถือว่าต่ำสุดในรอบ 5 ปี มีอัพไซด์ที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับราคาพื้นฐาน"นายมงคล กล่าว

นักวิเคราะห์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า แม้ว่าแนวโน้มผลประกอบการ ERW ในปี 62 อาจต่ำกว่าคาด ล่าสุดปรับลดคาดการณ์รายได้ปี 62 เป็นเติบโต 3-5% จากเดิม 7% เนื่องจากในงวด 9 เดือนปี 62 อัตราการเข้าพักของโรงแรมต่างจังหวัดชะลอตัว โดยเฉพาะในหัวเมืองท่องเที่ยว อาทิ สมุย ภูเก็ต เป็นต้น

แต่เชื่อมั่นว่าผลประกอบการในปี 63 จะพลิกกลับมาเติบโตได้ชัดเจนอีกครั้งตามแผนการเปิดโรงแรมใหม่ โดยในไตรมาส 4/62 เปิดให้บริการโรงแรมใหม่ 4 แห่ง ประกอบด้วยแบรนด์ HOP INN ในไทย 3 แห่งในพื้นที่หาดใหญ่ ,รังสิต ,และนครปฐม รวมถึงแบรนด์ Mercure Ibis สุขุมวิท 24 นอกจากนี้ คาดว่าจะได้รับผลบวกหลังจาก JW Marriott กลับมาให้บริการตามปกติ ส่งผลให้ช่วงสิ้นปี 62 จะมีโรงแรมในเครือทั้งหมด 70 แห่ง ห้องพักรวม 9,500 ห้อง

สำหรับแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/62 ฝ่ายวิจัยฯประเมินว่าจะเติบโตดีขึ้น เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากฤดูกาลท่องเที่ยว และรับผลดีจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของรัฐบาล เป็นปัจจัยผลักดันจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีนและเอเชียกลับมาเติบโตอีกครั้ง

ปัจจุบันมีมุมมองเชิงบวกกับหุ้น ERW เนื่องจากมีจุดเด่นที่มีโรงแรมทุกระดับครอบคลุมลูกค้าได้จำนวนมากและหลากหลายทำเล มีความสามารถในการทำกำไรดี เพราะมี Economy of scale ขณะที่ ERW ขยายการลงทุนไปในประเทศฟิลิปปินส์ที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดี ฝ่ายวิจัยฯแนะนำ "ซื้อ" มีอัพไซด์เมื่อเทียบกับราคาพื้นฐานที่ 6.80 บาท

บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า เลือกหุ้น ERW เป็นหุ้นเด่นประจำกลุ่มโรงแรม เนื่องจากเป็นบริษัทที่เป็น "Pure Hotel Player" มีธุรกิจโรงแรมสัดส่วน 90% ให้บริการในประเทศครอบคลุมทุกระดับชั้น และการกลับมาให้บริการเต็ม 100% ของโรงแรม JW Marriott ที่ปิดซ่อมแซมบางส่วนในช่วงปี 61-62 ทำให้คาดว่าจะสามารถปรับเพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อห้องที่ขายได้ และการเปิดโรงแรมกลุ่ม HOP INN ที่ได้ความนิยมทั้งในไทยและฟิลิปปินส์ ซึ่งกลุ่ม HOP INN มีอัตราเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อห้องที่มีทั้งหมดระดับสองหลักจากการตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจในไทยและต่างประเทศ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ