บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) เปิดเผยว่า ในปี 63 บริษัทมีแผนรุกตลาดต่อเนื่องครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย และเตรียมพร้อมขยายการลงทุนและฐานลูกค้าเพิ่มทั้งในและต่างประเทศ โดยตั้งเป้าเปิดตัว 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวมมากกว่า 25,000 ล้านบาท พร้อมเป้ายอดพรึเซลทั้งปีมากกว่า 12,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ยอดขายจากลูกค้าต่างชาติ 7,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% จากปีก่อนที่ทำได้ 3,500 ล้านบาท
ล่าสุดบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือมูลค่ารวมประมาณ 17,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วง 2-3 ปีจากนี้ (63-65)
นายธงชัย บุศราพันธ์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้ที่บริหารร่วม NOBLE กล่าวว่า ปี 62 เป็นปีที่บริษัทประสบความสำร็จเป็นอย่างมากกับยอดรายได้ทั้งปีที่สูงกว่า 15,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นครั้งแรกที่บริษัทมีผลประกอบการแตะระดับหมื่นล้านบาก ส่งผลให้ NOBLE ก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 10 อันดับแรกของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของไทย ส่วนยอดขายรวมคาดว่าอยู่ที่ 14,000 ล้านบาท จากการขายโครงการเดิมที่มีในมือ และมีการเปิดขายโครงการใหม่ จำนวน 1 โครงการ คือที่ลาซาน ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี
ส่วนปีนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมที่ 11,000-12,000 ล้านบาท จากทยอยรับรู้ Backlog ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งคาดจะรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 6,000 ล้านบาท รวมถึงยังมีสินค้าที่อยู่ระหว่างการขายและอยู่ระหว่างการก่อสร้าง มูลค่ารวม 18,000 ล้านบาท จาก 12 โครงการ ขณะที่มีแผนเปิดตัว 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 25,000 ล้านบาท เบื้องต้นจะมี 2 โครงการ ที่เป็นโครงการร่วมทุน โดยได้ร่วมทุนกับกลุ่มฮ่องกงแลนด์ จำนวน 1 โครงการ และบมจ.ยู ซิตี้ (U) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มบมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) อีก 1 โครงการ อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงเปิดโอกาสจะพัฒนาโครงการร่วมกับพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง และยังมีแผนจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด แคมเปญต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นยอดขายด้วย
นอกจากนี้บริษัทยังมีความสนใจที่จะลงทุนซื้อโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง โดยขนาดของโครงการจะต้องมียอดขายที่ประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาทต่อโครงการ
ทั้งนี้ ตั้งงบลงทุนรวมไว้ที่ประมาณ 7,000-7,500 ล้านบาท โดยจะใช้ซื้อที่ดิน ประมาณ 1,500 ล้านบาท เช่น ที่ดินในเขตเมืองและที่ดินในแนวรถไฟฟ้าใหม่ ๆ และใช้เป็นงบก่อสร้าง ประมาณ 6,000-6,500 ล้านบาท โดยแหล่งเงินทุนจะมาจาก 3 ส่วน ประกอบด้วย การกู้ยืมจากสถาบันการเงิน, กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน และการออกหุ้นกู้ ซึ่งในปีนี้บริษัทมีแผนออกหุ้นกู้ประมาณ 2,500 ล้านบาท เพื่อชำระคืนหุ้นกู้ชุดเดิมที่จะครบกำหนดในเดือนพ.ค. และในเดือนพ.ย.63 ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนทางการเงินลดลง เพราะเป็นช่วงแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง
สำหรับสิ่งที่ต้องระมัดระวังมากขึ้นในปีนี้มีอยู่ 3 เรื่อง ได้แก่ การใช้เงินทุน หรือการกู้ยืมระยะสั้น เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง โดยจะหันมากู้ยืมเงินในระยะกลาง-ยาวแทน เช่น การออกหุ้นกู้ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนทางการเงิน, การทำตลาด โดยจะเปิดตลาดต่างประเทศมากขึ้น เพื่อกระจายสินค้าให้มากขึ้น และการบริหารจัดการต้นทุนต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
"ในช่วง 3 ปีจากนี้ บริษัทจะรักษาระดับการรับรู้รายได้ และการลงทุนเปิดตัวโครงการใหม่ ให้มีความสม่ำเสมอ โดยจะรักษารายได้รวมให้อยู่ที่ระดับ 11,000-14,000 ล้านบาทต่อปี ขณะเดียวกันจะรักษาอัตรากำไรสุทธิให้อยู่ที่ระดับ 17-18% เพื่อผลตอบแทนที่ดีให้ผู้ถือหุ้น และจะเปิดขายโครงการใหม่ประมาณ 6-10 โครงการต่อปี เพื่อรองรับการรับรู้รายได้ในอนาคต รวมถึงรักษาฐานการเงิน โดยจะรักษาระดับอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ให้อยู่ที่ระดับ 1.5-1.8 เท่า"นายธงชัย กล่าว