(เพิ่มเติม) SPPT ตั้งเป้ารายได้รวมปี 51 โตกว่า 60% เริ่มรับรู้รายได้จากบ.ลูก

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday March 5, 2008 16:16 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายประพจน์ พลพิพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ซิงเกิ้ล พอยท์ พาร์ท (ประเทศไทย) หรือ SPPT คาดว่า ในปีนี้บริษัทจะมีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดถึงกว่า 60% 
"ในส่วน SPPT คาดว่าจะขยายตัว 35% แต่ถ้ารวมรายได้จากธุรกิจของบริษัทลูกทั้ง 2 แห่ง คือ SPMP และ SPEE จะทำให้บริษัทมีอัตราโตแบบก้าวกระโดดถึงกว่า 60%" นายประพจน์ กล่าว
ในส่วนของบริษัท ซิงเกิ้ลพอยท์ เอ็นเนอร์ยี่ แอนด์ เอ็นไวรอนเม้นท์ (SPEE) ที่บริษัทถือหุ้น 49.99% ดำเนินธุรกิจด้านพลังงานทดแทน โดยการจำหน่าย ประกอบ และติดตั้งเครื่องจักรแปรรูปขยะพลาสติกเป้นน้ำมันดิบและจำหน่ายสารเร่งปฎิริยาในการแปรรูปเศษพลาสติกเป็นน้ำมันดิบ คาดว่าในปีนี้จะจำหน่ายเครื่องจักรแปรรูปฯ ได้ 3 เครื่อง โดยเป็นภาครัฐ 2 เครื่อง เอกชน 1 เครื่อง
ทั้งนี้ บริษัทได้เซ็นสัญญาจำหน่ายเครื่องแปรรูปขยะพลาสติกเป็นน้ำมัน 1 เครื่อง พร้อมจัดสร้างอาคารสำหรับติดตั้งเครื่องจักร 1 หลัง รวมมูลค่า 40 ล้านบาทกับเทศบาลเมืองระยองและบริษัทได้รับเงินชำระค่ามัดจำเครื่องจักรเรียบร้อยแล้ว โดยมีกำหนดการติดตั้งเครื่องจักรภายในเดือนพ.ค.นี้
นอกจากนี้ บริษัทยังจะมีรายได้อีกส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายสารเร่งปฎิกริยา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่กำหนดในสัญญาว่าลูกค้าจะต้องซื้อจากบริษัท
ส่วนบริษัท ซิงเกิ้ล พอยท์ เมดิคอล พาร์ท จำกัด (SPMP) ดำเนินธุรกิจการผลิตชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุปกรณ์ทางการแพทย์ นายประพจน์ กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทได้เตรียมขบวนการผลิตที่โรงงานนิคมโรจนะ ซึ่งพร้อมจะรองรับคำสั่งซื้อที่คาดว่าจะได้รับในเดือนพฤษภาคม
อนึ่ง SPMP เป็นผู้ผลิตข้อต่อพลาสติกใช้สำหรับเครื่องฟอกไตและกระบอกฉีดยาไร้เข็ม ซึ่งเป็นนวัตกรรมของบริษัทที่จดสิทธิบัตรที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งบริษัทคาดว่าจะได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาประเทศญี่ปุ่นภายในเดือนพฤษภาคม
"ในปีนี้ยังเชื่อว่าจะมีการรับรู้รายได้จากบริษัทลูกคือ SPMP 10 ล้านบาท และ SPEE ซึ่งคาดว่าจะมียอดขาย 150 ล้านบาท โดยจะมาจากการขายเครื่องแปรรูปฯ 3 เครื่องให้กับ อบต.ระยอง ราคา 35 ล้านบาท และในเดือนเม.ย.ก็จะมีการเซ็นสัญญาขายเครื่องแปรรูปขยะให้กับ อบต.หัวหินมูลค่า 50 ล้านบาท และก็เจรจาขายให้กับภาคเอกชน 5-6 ราย ราคาเครื่องละ 55-60 ล้านบาท" นายประพจน์ กล่าว
อีกทั้ง บริษัทยังจะมีรายได้จาก Non Hard Disk Drive ที่บริษัทขยายธุรกิจ โดยเชื่อว่าจะได้รับออร์เดอร์จาก Non Hard Disk Drive เข้ามาเพิ่ม 30 ล้านบาท จากที่ตั้งเป้าว่าจะมีรายได้จาก Non Hard Disk Drive ในปีนี้ 148 ล้านบาท ทั้งนี้หากรวมรายได้ HDD และ Non Hard Disk Drive ในปีนี้จะอยู่ที่ 970 ล้านบาท
นายประพจน์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้าในประเทศสิงคโปร์และมาเลเซียที่สั่งซื้อชิ้นส่วน HDD ในการที่ปรับราคาขายเพิ่มขึ้น 3-5% เพื่อชดเชยกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น โดยจะเห็นการปรับอัตราใหม่ในไตรมาส 2 นี้ ปัจจุบันบริษัทมีคำสั่งซื้อจากลูกค้ามาเลเซียกับสิงคโปร์รวมกัน 120 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทได้มีคำสั่งซื้อจากลูกค้าใหม่ประเทศจีนปีละ 20-30 ล้านบาท ซึ่งลูกค้าใหม่รายนี้จะคิดราคาในอัตราใหม่ด้วย
ปีนี้ สัดส่วนการส่งออกจะเพิ่มขึ้นเป็น 12% ที่เหลือเป็นในประเทศจากปีก่อนที่ส่งออกแค่ 2%

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ