ส.นักวิเคราะห์มองเลิก 30% ส่งผลดีตลาดหุ้น แต่บาทส่อแววแข็งค่าแตะ 30.8

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday March 5, 2008 16:27 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เผยผลสำรวจนักวิเคราะห์คาดการณ์อัตราแลกเปลี่ยนในอีก 4 สัปดาห์ข้างหน้าจะแข็งค่าไปอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 30.8 บาท/ดอลลาร์ หลังทางการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ขณะที่หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลบวก จึงแนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกล่มอสังหาริมทรัพย์และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ธนาคาร และ พลังงาน
การสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์โดยสมาคมฯ ล่าสุด เมื่อวันที่ 4 มี.ค.ที่ผ่านมา พบว่า นักวิเคราะห์ร้อยละ 65 คาดว่า อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทถัวเฉลี่ยที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ประกาศใน 4 สัปดาห์ข้างหน้าจะแข็งค่าขึ้น โดยมีอัตราเฉลี่ยที่ระดับ 30.8 บาท/ดอลลาร์ โดยมีนักวิเคราะห์เพียงร้อยละ 10 ที่ประเมินว่าค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงไปอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 31.9 บาท/ดอลลาร์
และจากผลสำรวจนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ร้อยละ 80 เห็นด้วยการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ขณะที่ 15% ไม่เห็นด้วยและไม่มีความเห็น โดยนักวิเคราะห์ร้อยละ 60 แสดงความเห็นต่อการยกเลิกมาตรการดังกล่าวว่าจะส่งผลดีต่อการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ และจะมีเงินทุนไหลเข้ามากขึ้นจากบรรยากาศการลงทุนที่ปรับตัวดีชึ้น
ขณะที่อีกร้อยละ 30 เห็นว่าการยกเลิกมาตรการดังกล่าวไม่มีผลใดๆ หรือมีน้อย เนื่องจากมาตรการนี้ไม่ได้ใช้กับตลาดทุนโดยตรงอยู่แล้ว และตลาดทุนอาจได้รับผลดีบ้างในส่วนของกองทุนอสังหาริมทรัพย์ และบรรยากาศการลงทุนที่ดีขึ้น แต่ผลที่ได้ไม่มากนัก
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ร้อยละ 50 เห็นว่าการยกเลิกมาตรการดังกล่าวจะมีผลดีต่อกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่มีการออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ อันดับที่สองที่ได้รับผลดี มีนักวิเคราะห์ร้อยละ 20 คือกลุ่มบริษัทที่มีหนี้สินต่างประเทศซึ้งอาจทยอยชำระคืนหนี้ได้จากการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท และ อันดับที่สาม คือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ มีนักวิเคราะห์ตอบร้อยละ 15
ส่วนกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลลบ ซึ่งนักวิเคราะห์ร้อยละ 75 เห็นตรงกันมากที่สุด คือธุรกิจส่งออก อันดับที่สอง คือกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และ อิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากมีรายได้เป็นเงินดอลลาร์
สำหรับปัจจัยอื่นที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนที่สำคัญนั้น นักวิเคราะห์ให้น้ำหนักกับปัจจัยทางการเมืองภายในประเทศ เป็นอันดับแรก อันดับที่สอง คือภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐที่ถดถถอยจากปัญหาซับไพร์ม และอันดับสาม คือ มาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
นักวิเคราะห์แนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มอสังหาริมมทรัพย์ รวมถึงบริษัทที่มีการออกขายกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากได้รับผลดีจากการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมทั้งโครงการลงทุนของภาครัฐ และหุ้นกลุ่มที่มีปันผลดี รวมถึงกลุ่มธนาคาร และ พลังงาน แต่แนะนำหลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่มส่งออก

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ