นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า มุมมองการเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) ในไตรมาส 1/63 ประเมินว่าจะอยู่ในกรอบ 1,555-1,630 จุด ขณะที่คาดว่า SET Index สิ้นปีจะอยู่ที่ 1,725 จุด และกำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (EPS) ในปีนี้จะอยู่ที่ 100-101 บาท เพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อน
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นในไตรมาส 1/63 มีความผ่อนคลายจากหลาย ๆปัจจัยเกิดขึ้น เช่น การทำข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนในเฟสแรก ที่ผ่านไปได้ด้วยดี แต่ก็ถือว่ายังมีข้อจำกัดในการกีดกันทางการค้าอยู่บ้าง การดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) การควบคุมเสถียรภาพราคาน้ำมันของกลุ่มโอเปค ซึ่งทำให้ทิศทางของตลาดหุ้นทั่วโลกผ่อนคลายขึ้นได้บ้าง
แต่สำหรับตลาดหุ้นไทยมองว่ายังอาจจะมีผลกระทบจากความไม่แน่นอนของปัจจัยที่เข้ามากระทบในหุ้นแต่ละกลุ่ม ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นไทยค่อนข้างเกิดความผันผวน
สำหรับกลุ่มธุรกิจที่ยังเผชิญกับปัจจัยความไม่แน่นอน และควรชะลอการลงทุนไปก่อน ได้แก่ 1. กลุ่ม ICT ที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าคู่แข่งทั้ง CAT และ TOT จะเข้าร่วมการประมูล 5G ในครั้งนี้ด้วยหรือไม่ ซึ่งหากคู่แข่งทั้งสองเข้ามาร่วมประมูล 5G ด้วยมองว่าจะส่งผลให้เกิดการแข่งขันด้านราคาที่เพิ่มขึ้น และส่งผลให้ทาง บล.กสิกรจะปรับลดคำแนะนำของกลุ่ม ICT ลงทันที
2. กลุ่มค้าปลีก ที่ยังต้องติดตามประเด็นการประมูลซื้อกิจการเทสโก้ โลตัส ในประเทศไทยและมาเลเซีย ของทั้ง 3 ราย คือ กลุ่ม CENTRAL กลุ่ม CP และกลุ่ม BJC หากรายใดรายหนึ่งชนะจะต้องพิจารณาถึงแผนการระดมเงินทุนในการซื้อกิจการเทสโก้ โลตัส ว่าจะใช้แหล่งเงินทุนจากช่องมางใดบ้าง และจำเป็นต้องเพิ่มทุนหรือไม่
3.กลุ่มปิโตรเคมีเกี่ยวการพลาสติกที่เผชิญกับการรณรงค์ลดใช้พลาสติกจะมีแนวทางในการดำเนินธุรกิจต่อไปอย่างไร โดยเฉพาะ IRPC และ PTTGC
4. กลุ่มท่องเที่ยว ซึ่งในปัจจุบันยังมีแรงกดดันโรคระบาดไวรัสจากเมืองอู่ฮั่น ทำให้การท่องเที่ยวเกิดการชะลอตัวไปบ้าง
และ 5. กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ที่ยังมีแรงกดดันจากปริมาณสต็อกที่อยู่อาศัยในตลาดยังเหลืออยู่มาก และกำลังซื้อที่ชะลอตัว ซึ่งกลุ่มธุรกิจ
ทั้ง 5 กลุ่มเป็นกลุ่มที่บล.กสิกรไทยยังคงให้ชะลอการลงทุนใปก่อนในไตรมาส 1/63
ส่วนกลุ่มที่มีความโดดเด่นในไตรมาส 1/63 และในปี 63 ได้แก่ 1. กลุ่ม Non-Bank ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารหนี้เสีย ที่จะได้ประโยชน์ไนภาวะที่เศรษฐกิจไม่ดี เช่น JMT
2. กลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่มองว่าในปีนี้จะกลับมา จากการที่ภาครัฐจะเริ่มทยอยเบิกจ่ายใช้งบประมาณในการลงทุนโครงการต่างๆ ซึ่งมีหุ้นแนะนำ คือ STEC
3. กลุ่มพลังงานต้นน้ำ เช่น PTTEP
4. กลุ่มโรงไฟฟ้า เป็นต้น ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์มองว่าในปีนี้ยังมีแรงกดดันจากนโยบายการควบคุมจากภาครัฐและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ยังคงกดดันกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย และปัญหาหนี้เสียที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่มองว่าในระยาวกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะกลับมาฟื้นตัวได้