หุ้นในกลุ่มโรงกลั่นปรับตัวลงทั่วหน้า เมื่อเวลา 10.13 น.นำโดยหุ้น TOP ร่วง 6.03% มาอยู่ที่ 54.50 บาท ลดลง 3.50 บาท มูลค่าซื้อขาย 493.70 ล้านบาท
หุ้น SPRC ลบ 3.01% มาอยู่ที่ 8.05 บาท ลดลง 0.25 บาท มูลค่าซื้อขาย 48.89 ล้านบาท
หุ้น BCP ลบ 2.83% มาอยู่ที่ 25.75 บาท ลดลง 0.75 บาท มูลค่าซื้อขาย 32.46 ล้านบาท
หุ้น ESSO ลบ 2.88% มาอยู่ที่ 6.75 บาท ลดลง 0.20 บาท มูลค่าซื้อขาย 35.33 ล้านบาท
บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯว่า หุ้นในกลุ่มโรงกลั่น มีปัจจัยลบประกอบด้วย 1) คาดว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 4/62 จะไม่ดีจากค่าการกลั่นเฉลี่ยในระดับต่ำและการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่น (SPRC) แม้ว่าอาจจะมีกำไรจากสต็อกน้ำมันมาช่วยบางส่วนก็ตาม 2) ค่าการกลั่นปัจจุบันที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งต่ำกว่าต้นทุนที่เป็นเงินสด (Cash cost) ของโรงกลั่นที่อยู่ที่ประมาณ 2-3 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
3) ราคาน้ำมันที่ปรับลดลงแรงในเดือนมกราคมทำให้อาจจะมีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันในไตรมาส 1/63 ได้ และ 4) การเริ่มใช้มาตรการ IMO2020 ไม่เป็นไปในทิศทางบวกกับกลุ่มโรงกลั่นอย่างที่ตลาดคาดไว้ก่อนหน้านี้ โดยส่วนใหญ่ตลาดจะคาดว่า crack spread (ส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปลบด้วยราคาน้ำมันดิบ)ของดีเซลจะเพิ่มสูงขึ้นมากเป็น 18-25 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่กลับกลายเป็นว่าช่วงนี้ crack spread diesel อยู่แค่ 12.7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากเรือส่วนใหญ่หันไปเลือกใช้น้ำมันเตากำมะถันต่ำ (LSFO) มาแทนการใช้น้ำมันดีเซลและจีนสนับสนุนการส่งออก LSFO
อย่างไรก็ตามประเมินว่าราคาหุ้นที่ปรับลดลงมาแรงจนทำให้ P/BV ของทั้ง TOP และ SPRC ลงมาที่ระดับ 1 เท่า หรือเป็นระดับ -2 s.d. ของค่าเฉลี่ย P/BV ย้อนหลัง 1 ปี (P/BV ของ TOP ในรอบ 10 ปีเคยลงไปต่ำสุดแค่ 0.94 เท่าเมื่อปี 57) ได้สะท้อนปัจจัยลบข้างต้นไปมากแล้ว และคาดว่าราคาหุ้นจะทยอยฟื้นตัวตาม crack spread น้ำมันดีเซลและเบนซินที่จะดีขึ้นในเดือนก.พ.-มี.ค. ด้วย downside risk ที่จำกัดจากการรับข่าวลบไปมากแล้วและ upside ที่สูงขึ้น จึงแนะนำ "ซื้อ"หุ้นบมจ.ไทยออยล์ (TOP) (upside 36%) และบมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC) (upside 47%) โดยมีราคาเป้าหมาย 79 บาท และ 12.20 บาท