นายคณฆัส จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า แนวโน้มการเคลื่อนไหวดัชนีเช้านี้ยังมีทิศทางอ่อนตัวลงต่อเนื่อง แต่ความผันผวนน่าจะลดลงจากช่วง 2-3 วันก่อน เป็นลักษณะของการซึมตัวลง ขณะที่ตลาดยังคงมีความกังวลต่อสถานกาณณ์ของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ที่มีการระบาดออกไปหลายประเทศ ซึ่งยังกดดันต่อการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงติดตามทิศทางราคาสินค้าโภคภัณฑ์อย่างราคาน้ำมัน ที่ร่วงลงต่อเนื่อง และยังต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของแต่ละประเทศด้วย
ส่วนการที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และเดินหน้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) นั้น ตลาดหุ้นฝั่งยุโรปก็ไม่ได้ตอบรับมากนัก เนื่องจากยังมีความกังวลต่อสถานการณ์ของเชื้อไวรัสโคโรนา
นอกจากนี้ด้านปัจจัยในประเทศยังต้องติดตามเรื่องการทยอยประกาศผลประกอบการงวดปี 62 ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) และร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ที่มีแนวโน้มล่าช้า ประกอบกับเป็นช่วงเทศกาลตรุษจีน ก็อาจจะทำให้มูลค่าซื้อขายเบาบางลง อย่างไรก็ตามการที่ดัชนีปรับตัวลดลงมาหลายวัน ก็ยังมีโอกาสที่จะดีดตัวขึ้นทางเทคนิคได้ระหว่างการซื้อขาย
พร้อมมองแนวรับที่ 1,567 และ 1,560 จุด ส่วนแนวต้าน อยู่ที่ 1,580 และ 1,585 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (23 ม.ค.63) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 29,160.09 จุด ลดลง 26.18 จุด (-0.09%) ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,325.54 จุด เพิ่มขึ้น 3.79 จุด (+0.11%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 9,402.48 จุด เพิ่มขึ้น 18.71 จุด (+0.20%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 54.68 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 26.30 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 0.80 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 0.84 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 5.77 จุด และดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ลดลง 6.38 จุด
ตลาดหุ้นจีน ตลาดหุ้นไต้หวัน และตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ปิดทำการวันนี้เนื่องในวันตรุษจีน
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (23 ม.ค.63) 1,573.70 จุด ลดลง 0.89 จุด (-0.06%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 698.17 ล้านบาท เมื่อวันที่ 23 ม.ค.63
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน มี.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (23 ม.ค.63) ปิดที่ระดับ 55.59 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 1.15 ดอลลาร์ หรือ 2%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (23 ม.ค.) อยู่ที่ 0.14 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 30.50 แนวโน้มอ่อนค่า กังวลการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กระทบท่องเที่ยว
- "เงินบาท" เริ่มอ่อนค่านักกลยุทธ์ตลาดเงิน "กรุงไทย" ชี้ปัจจัยหลักมาจากตลาดหุ้น ปิดรับความเสี่ยง "ไวรัสโคโรนา" สายพันธุ์ใหม่จากจีนแพร่ระบาด บวกกับแบงก์ชาติเข้าดูแล ด้าน"กสิกรไทย"แนะเกาะติดโรคระบาดและสถานการณ์เศรษฐกิจต่างประเทศ
- รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เตรียมเสนอ ครม.เศรษฐกิจ วันที่ 31 ม.ค. พิจารณามาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวรวมกว่า 10 มาตรการ โดยเน้นไปที่การส่งเสริมตลาดต่างประเทศ เพื่อดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางเข้าประเทศไทยมากขึ้น โดยหนึ่งในมาตรการที่เสนอและถือเป็นยาแรงที่จะช่วยกระตุ้นได้ดี คือ การยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา หรือวีซ่า ให้กับนักท่องเที่ยวจากจีน และอินเดีย ไปจนถึงสิ้นปี 63 พร้อมชูมาตรการ 'ชิม ช้อป ใช้' อินเตอร์ แจกคูปองนักท่องเที่ยวใช้แทนเงินสด หลังมาไทยน้อยลงเหตุเงินบาทแข็งค่า
- "สมคิด" นั่งหัวโต๊ะ ถกบอร์ดเร่งรัดการค้า-ลงทุนนัดแรก เผย "คลัง-บีโอไอ" พร้อมชงมาตรการกระตุ้นการลงทุน คาดหนุนเอกชนลงทุนปีนี้ 1 แสนล้านบาท รถไฟสายสีส้มตะวันตก ดันประมูลศูนย์ซ่อมอากาศยานใน 2 เดือน หนุนร่วมวง "ซีพีทีพีพี" เปิดเจรจา 2 เอฟทีเอ
- ที่ประชุมคณะอนุกรรมการบริหารการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กบอ.) ตื่นบริหารจัดการน้ำในพื้นที่อีอีซี เตรียมแผนลงทุน 50,000 ล้านบาทจัดการเบ็ดเสร็จ ขณะที่เบื้องต้นพบสถานการณ์น้ำในจังหวัดระยองและฉะเชิงเทรามีใช้เพียงพอ ส่วนจังหวัดชลบุรีมีความต้องการน้ำเพิ่มเล็กน้อย ประมาณ 5-6 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังและทำงานกันอย่างใกล้ชิด เพื่อลดความเสี่ยงการขาดแคลนน้ำ โดยมอบหมายให้กนอ.ร่วมกับส.อ.ท. จัดทำแผนใช้น้ำลดลง 10% ช่วงเดือนมกราคม-มิถุนายน 2563 และวางมาตรการ เพิ่มปริมาณน้ำ หากฝนตกล่าช้าจากปกติเดือนมิถุนายน สทนช.ได้วางโครงการเพื่อลดความเสี่ยง
- "สมคิด" ค้านออก พ.ร.ก.กู้เงินลงทุน หลังงบประมาณปี 2563 สะดุด ด้านสำนักงบฯ ชี้ยังไม่ใช่เวลาเหมาะสม แนะรัฐบาลขอแก้ไข พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณจากเดิม ให้ใช้งบประมาณเก่าไปพลางก่อนไม่เกินครึ่งหนึ่ง ขยายเป็นไม่เกิน 75% เพื่อป้องกันรัฐบาลชัตดาวน์ ฟากคลังยอมสูญ 9 พันล้านบาท แลกหักค่าใช้จ่ายเปลี่ยนเครื่องจักรได้ 2.5 เท่า หวังดูดลงทุนเพิ่ม
- โตโยต้า ประเมินแนวโน้มตลาดรถยนต์ปี 63 คาดว่าจะมียอดขายรวม 940,000 คัน แบ่งเป็น รถยนต์นั่ง 358,500 คัน และรถเพื่อการพาณิชย์ 581,500 คัน ลดลงจากปีที่ผ่านมา 7% คาดว่าตลาดรถยนต์ปีนี้จะต้องเผชิญกับหลายปัจจัยที่ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาทั้งในเรื่องความเชื่อมั่นของเศรษฐกิจโลกที่ไม่มีความแน่นอน มาตรการควบคุมสินเชื่อรถยนต์ที่มีความเข้มงวด ในปีที่ผ่านมายอดขายตลาดรวมอยู่ที่ 1,007,552 คันลดลงจากปีก่อนหน้า 3.3% แบ่งเป็นรถยนต์นั่ง 398,386 คันและรถเพื่อการพาณิชย์ 609,166 คัน
- ม.หอการค้า คาดปีนี้เศรษฐกิจไทยจะโต 2.8% ซึ่งเป็นการเติบโตน้อยกว่า 4% ในรอบ 5 ไตรมาส นับตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 61 ที่เริ่มมีสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยซบเซามาตลอด อย่างไรก็ตาม ไตรมาส 1/63 คาดหวังว่าดัชนีสถานการณ์ธุรกิจเอสเอ็มอีจะขยับขึ้นมาอยู่ที่ 41.2 จากเดิมอยู่ที่ 40.8 จุดและภาพรวมธุรกิจเอสเอ็มอีจะเติบโตอยู่ในระดับ 3.4% หลังจากสงครามการค้าเริ่มคลี่คลาย
- เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)เปิดเผยว่า กอช.กำลังพิจารณาปรับเพิ่มวงเงินสะสมของสมาชิกจากปัจจุบันอยู่ที่ 13,200 บาทต่อปีเพิ่มขึ้นเป็นไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี และจะพิจารณาเพิ่มเงินสมทบในส่วนของรัฐบาลด้วย แต่ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่าจะเพิ่มเงินให้มากกว่า 1,200 บาทต่อปี ซึ่งเป็นวงเงินสมทบสูงสุดในขณะนี้ได้หรือไม่ เพราะจะต้องพิจารณาถึงภาระงบประมาณที่จะใส่เพิ่มขึ้นด้วย
*หุ้นเด่นวันนี้
- PSH (เอเซีย พลัส) แนะ"ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 18.50 บาท แม้ Presale ปี 2562 ต่ำเป้าอยู่ที่ 3.57 หมื่นล้านบาท แต่กำไรคาดอยู่ในความคาดหมาย โดย 4Q62 ประเมิน 1.4 พันล้านบาท เพิ่ม 53% QoQ ส่วนภาพธุรกิจปี 2563 ยังเผชิญกับปัจจัยท้าทายจากตลาดอสังหาฯ ยังไม่สดใส และการแข่งขันในกลุ่มแนวราบและคอนโดฯ รุนแรง ทำให้ประเมินกำไรปีนี้ใกล้เคียงปีก่อน แต่ด้วยความน่าสนใจของราคาหุ้นที่มี PER ต่ำกว่า 7 เท่า และโครงสร้างการเงินยังแข็งแรง มี Net Gearing ต่ำ 0.7 เท่า ทำให้ยังสามารถจ่ายเงินปันผลระดับสูง โดย 2H62 คาดปันผลหุ้นละ 0.62 บาท หรือ 4.3% ขณะที่ทั้งปีคาดกว่า 8% จึงแนะนำซื้อ เพื่อลงทุนสำหรับเงินปันผล
- RATCH (เคทีบีฯ) แนะ"ซื้อ" ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 80 บาท แม้ราคาหุ้นจะฟื้นตัวมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังunderperform หุ้นในกลุ่มไฟฟ้า ทำให้ RATCH ยังเป็นหุ้น Laggard กลุ่มไฟฟ้า ที่มีกำไรเติบโตทำ New high ขณะที่มี Upside จากการเติบโตของกำไรที่จะทำ All time high ปีนี้ , ได้กำลังผลิต IPP ใหม่ 700MW และล่าสุดได้อีก 150MW โรงไฟฟ้าลมในออสเตรเลีย และ โรงไฟฟ้าเอสพีพี 110MW และยังได้ GULF เป็น Partner เพื่อต่อยอดธุรกิจมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะ GULF มี Potential โครงการทั้งในและต่างประเทศเยอะมาก พร้อมที่จะให้ RATCH เข้าร่วมทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจ
- TISCO (เคจีไอฯ) แนะ"เก็งกำไร"ให้ราคาพื้นฐาน 112 บาท ประเมินปันผล 7 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend yield 6.8% ขณะที่มี Upside การปรับประมาณการกำไรสุทธิขึ้น หลังเตรียมกลับรายการทางบัญชี การตั้งสำรองฯส่วนเกินราว 2 พันล้านบาท โดยจะเป็นการทยอยรับรู้เป็นรายได้ 5 ปี (เฉลี่ยปีละ 400 ล้านบาท)