นางสาวเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) เปิดเผยว่า แผนธุรกิจปี 63 บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 1.15 หมื่นล้านบาท และตั้งเป้ายอดโอน 1.06 หมื่นล้านบาท โดยกลยุทธ์นอกจากพัฒนาโครงการที่เจาะกลุ่ม Real Demand ก็จะเตรียมความพร้อมรับมือเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคที่ปลี่ยนแปลง รวมถึงการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ร่วมกับพันธมิตรมาใช้เพื่อผลักดันการเติบโตให้กับบริษัท
สำหรับปีนี้เตรียมเปิดโครงการใหม่ 10 โครงการ มูลค่ารวม 7.5 พันล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 6 โครงการ และแนวราบ 4 โครงการ เจาะกลุ่ม Real Demand เน้นคนที่ซื้ออยู่จริง โดยใช้ข้อมูลจากหลายส่วนมาค้นหาทำเลที่เหมาะสม ทั้งโครงข่ายรถไฟฟ้าที่เกิดขึ้นมากมาย แต่ต้องเลือกทำเลที่เหมาะสม โดยต้องอยู่ในแหล่งงาน มีคนอพยพเข้ามาอยู่อาศัย ผังเมืองเหมาะสมและซัพพลายยังไม่มากเกินไป โดยเฉพาะตลาดแนวราบระดับราคา 3-5 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมระดับราคา 1-3 ล้านบาท ซึ่งยังเป็นระดับที่มีกำลังซื้อ และได้รับความนิยม
ทั้งนี้ มองว่าในปีนี้จะเริ่มเห็นการกลับข้างของการดูดซับโครงการแนวราบที่เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันอัตราการดูดซับระหว่างคอนโดมิเนียมและแนวราบอยู่ที่ 57:42 ทำให้พันธมิตรญี่ปุ่นมีความสนใจหันมาร่วมลงทุนโครงการทาวน์เฮาส์เป็นครั้งแรก เป็นโอกาสในการร่วมยกระดับการพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบร่วมกับบริษัท
นางสาวเกษรา เปิดเผยว่า บริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอน(Backlog) ณ สิ้นปี 62 ที่กว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยจะทยอยโอนในปีนี้ราว 6-7 พันล้านบาท ซึ่งการถือว่าค่อนข้างสูงมาก เพราะในปีนี้มีโครงการคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ที่พร้อมโอน ได้แก่ โครงการ Niche Pride เตาปูน-อินเตอร์เชนจ์ โครงการ Niche Mono เจริญนคร และโครงการ Niche Monk สุขุมวิท-แบริ่ง ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่นทั้งหมด
ขณะที่บริษัทตั้งงบซื้อที่ดินในปีนี้ไว้ที่ 1.5 พันล้านบาท เพื่อใช้รองรับซื้อที่ดินสำหรับการพัฒนาในปีถัดไป เพราะแผนการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ทั้ง 10 โครงการมีที่ดินครบทั้งหมดแล้ว
นางสาวเกษรา เปิดเผยว่า จำนวนโครงการใหม่ในปีนี้ 10 โครงการลดลงจากปีก่อนที่เปิดไป 11 โครงการ เนื่องจากบริษัทมีความระมัดระวังปัจจัยที่มีความไม่แน่นอน ซึ่งส่งผลกระทบมาถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ทำให้อยู่ในช่วงขาลงมาตั้งแต่ปีก่อน บริษัทจึงไม่ต้องการเร่งเปิดโครงการใหม่มากนัก และหันมาเน้นจับกลุ่มลูกค้า Real Demand มากขึ้น โดยพัฒนาคอนโดมิเนียมราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นทำเลปริมณฑลใกล้กับนิคมอุตสาหกรรม เพราะมองว่าเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ในปีนี้จะมีโครงการระดับราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาทที่จะเปิดตัว 4 โครงการ
ส่วนโครงการแนวราบจะเน้นไปที่การพัฒนาทาวน์เฮาส์ ซึ่งมีความต้องการซื้อค่อนข้างมาก โดยที่โครงการแนวราบจะเน้นไปที่โครงการระดับราคา 1-2 ล้านบาท และ 2-3.5 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่ลูกค้าส่วนใหญ่เข้าถึงได้มาก
อย่างไรก็ตาม บริษัทมองว่าภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ปีนี้จะยังคงชะลอตัว แม้ว่าทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะออกมาผ่อนคลายมาตรการ LTV ให้มีความยืดหยุ่นขึ้นมากขึ้น แต่ก็ยังมีประเด็นสำคัญคือใครจะซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงนี้ หรือคนซื้ออยู่ที่ไหน เพราะมีปัจจัยที่ยังไม่มีความแน่นอนทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกเข้ามากระทบต่อความมั่นใจและการตัดสินใจซื้ออย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับกลุ่มลูกค้านักลงทุนและกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติหายไปค่อนข้างมาก จะเห็นได้จากกลุ่มลูกค้าชาวจีนของบริษัทมีสัดส่วนลดลงเหลือ 10% จากเดิม 20% เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งค่า และเศรษฐกิจจีนชะลอตัว
ทั้งนี้ คาดว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยจะกลับมาฟื้นตัวขึ้นอีกครั้งหลังจากปีนี้ไปอีก 3-4 ปี แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆที่เกิดขึ้นด้วย
"ภาวะของตลาดอสังหาฯในตอนนี้และปัจจัยที่ไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น ทำให้การปรับตัวและปรับแผนของผู้ประกอบการภาคอสังหาฯต้องปรับตัวเร็วขึ้นจากทุกๆ 3 ปี เป็นทุกๆ 3 เดือน เพราะเราต้องปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในยุคนี้"นางสาวเกษรา กล่าว
นางสาวเกษรา กล่าวอีกว่า บริษัทยังมีแผนการลงทุนอื่นๆ เพื่อเป็นการเปิดโอกาสและสร้างช่องทางรายได้เสริมเข้ามา จากการตั้งกองทุนร่วมกับพันธมิตรญี่ปุ่นเพื่อเข้าซื้อสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้ เน้นโครงการที่อยู่อาศัยที่มีความน่าสนใจ โดยที่ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการมองหาซื้อโครงการจากผู้ประกอบการรายอื่นมาพัฒนาต่อ
ส่วนการลงทุนโครงการมิกซ์ยูสของบริษัทยังคงอยู่ในแผน แต่ยังไม่เร่งการพัฒนา เพราะสถานการณ์ของเศรษฐกิจและตลาดในปัจจุบันไม่เอื้ออำนวย ทำให้บริษัทยังต้องระมัดระวังในการลงทุน
ด้านผลการดำเนินงานในปี 62 บริษัทยอมรับว่ายอดขายต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1 หมื่นล้านบาท มาอยู่ที่เกือบ 8 พันล้านบาท และยอดโอนต่ำกว่าเป้าหมายมาที่ 6 พันล้านบาทเช่นเดียวกัน แต่ยังถือว่ามีการเติบโตจากปี 61 เล็กน้อย ซึ่งยอมรับว่าปัจจัยต่างๆที่กดดันภาคอสังหาริมทรัพย์ไนปีที่ผ่านมามีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัท และกระทบแผนการเปิดโครงการใหม่ในปีก่อนที่ลดลงจาก 20 โครงการ เหลือ 11 โครงการด้วยเช่นกัน