(เพิ่มเติม) ORI เปิดแผนพัฒนาอสังหาฯ สร้างรายได้ประจำไม่น้อยกว่า 11 โครงการภายในปี 66 รวมกว่า 2 หมื่นลบ.พร้อมดันเข้าตลาดหุ้น

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday January 29, 2020 17:02 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายปิติพงษ์ ไตรนุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ในเครือ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) กล่าวว่า บริษัทมีแผนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์และทยอยเปิดให้บริการจนถึงปี 66 รวมไม่น้อยกว่า 11 โครงการ ในหลากหลายทำเลสำคัญเกาะแนวเส้นทางขนส่งมวลชนที่สำคัญอย่างรถไฟฟ้าสายต่างๆ ในกรุงเทพฯและปริมณฑล และพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญอย่างเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) รวมมูลค่าโครงการกว่า 20,000 ล้านบาท ประมาณการมูลค่าสินทรัพย์รวม

ประกอบด้วย 1.โรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ รวมไม่น้อยกว่า 3,420 ห้องพัก ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ มุ่งเน้นเจาะลูกค้ากลุ่มธุรกิจ (Business Purpose) และกลุ่ม Budget Hotel ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีเสถียรภาพและมีอัตราการเข้าพักที่สม่ำเสมอทั้งในช่วงโลว์ซีซั่นและไฮซีซั่น 2.กลุ่ม Commercial Space เช่น อาคารสำนักงานให้เช่า พื้นที่ค้าปลีก รวมไม่น้อยกว่า 16,000 ตร.ม. โดยโครงการส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะ Mixed-use ผสมผสานการใช้ประโยชน์ด้วยอสังหาริมทรัพย์หลากหลายประเภท สร้างรายได้จากหลายรูปแบบ สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการ และทำให้แต่ละโครงการมีศักยภาพพร้อมเป็นแลนด์มาร์คใหม่ของทำเลนั้นๆ

ทั้งนี้ ภายใต้แผนการพัฒนาโครงการทั้งหมด มีโครงการที่ก่อสร้างเสร็จและเปิดให้บริการแบบ Soft Opening แล้ว 2 แห่ง ได้แก่ โรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ และโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา แหลมฉบัง รวม 650 ห้องพัก ถือเป็นความสำเร็จที่สำคัญของทั้งบริษัทและพันธมิตรดั้งเดิมอย่างบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจากญี่ปุ่น และ Hotel Operator ชั้นนำของโลกอย่างเครือโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล (IHG)

บริษัทยังมีโครงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ที่รอการพัฒนาและอยู่ระหว่างการพัฒนาในหลากทำเล อาทิ พญาไท สุขุมวิท รามอินทรา ศรีราชา ระยอง ฯลฯ โดยมีพันธมิตรใหม่สนใจร่วมลงทุนเพิ่มใน 3 โครงการ ขณะเดียวกัน บริษัท ยังมองหาโอกาสการควบรวมและ/หรือซื้อกิจการ (M&A) เพื่อช่วยสร้างโอกาสในการดำเนินธุรกิจอีกด้วย จากแผนงานของบริษัทภายในปี 68 คาดว่าจะสามารถสร้างกำไรให้กับกลุ่มได้ 500 ล้านบาทต่อปีตามแผน

นายปิติพงษ์ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 63 จะเติบโตเป็น 520 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 30 ล้านบาท จากการรับรู้รายได้การเปิดให้บริการโรงแรม 2 โครงการแรก คือ โรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ จำนวน 303 ห้องพัก จะเริ่มเปิดให้บริการ (soft opening) ตั้งแต่วันที่ 15 ม.ค.63 และโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีท ศรีราชา แหลมฉบัง จำนวน 347 ห้องพัก จะเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 15 ม.ค.63 เช่นกัน

ขณะที่ตั้งเป้าในปี 68 จะมีรายได้เติบโตแตะ 3.2 พันล้านบาท และกำไรสุทธิประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งสัดส่วนรายได้กว่า 85% จะมาจากธุรกิจโรงแรม ส่วนที่เหลือจะมาจากธุรกิจรีเทลและอาคารสำนักงาน 10% และห้องพักราคาประหยัดขนาดเล็กราว 5%

ในช่วง 4 ปีจากนี้ (ปี 63-66) บริษัทตั้งเป้าจะเปิดให้บริการโรงแรมรวม 11 แห่ง คิดเป็นจำนวนห้องพักรวม 3,420 ห้อง ปัจจุบันมีการลงทุนไปแล้ว 8 โครงการ แบ่งเป็นโครงการร่วมทุน 5 โครงการ และอีก 3 โครงการเป็นโครงการที่บริษัทลงทุนเอง อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทมีแผนจะเปิดให้บริการโรงแรมทั้งหมด 3 แห่ง คิดเป็นจำนวนห้อง 830 ห้อง, ในปี 64 มีแผนจะเข้าซื้อเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ 2 แห่ง เพื่อนำมาปรับปรุงเป็นโรงแรมใหม่รวม 410 ห้อง ส่วนในปี 65 จะเปิดให้บริการโรงแรมใหม่ 3 แห่ง รวมจำนวนห้องพักใหม่ทั้งสิ้น 1,050 ห้อง และในปี 66 จะเปิดให้บริการโรงแรมใหม่ 3 แห่ง รวมจำนวนห้องพักจะเพิ่มเป็น 1,130 ห้อง

พร้อมกันนี้บริษัทยังมีแผนนำโรงแรม 2 แห่ง ได้แก่ โรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ และโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีท ศรีราชา แหลมฉบัง จัดตั้งเป็นกองทุนทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ภายในปี 63-65 โดยมีมูลค่ากอง REIT ราว 5 พันล้านบาท และคาดว่าจะสร้างกำไรให้บริษัทราว 1,250 ล้านบาท อีกทั้งภายหลังจากนั้นบริษัทยังมีแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่อไป ประกอบกับศึกษาขยายธุรกิจไปยังธุรกิจโลจิสติกส์และคลังสินค้าด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ