โบรกฯ แนะเก็งกำไรหุ้น CK โอกาสสูงได้งานเพิ่มเพียบ แต่เสี่ยงต้นทุนพุ่ง

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday March 6, 2008 14:09 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          โบรกเกอร์ แนะนำเล่นเก็งกำไรหุ้น บมจ.ช.การช่าง(CK)หรือรอให้ราคาอ่อนตัวกว่านี้น่าจะเข้าลงทุนได้ มองแนวโน้มปีนี้โอกาส CK ได้งานใหม่จากต่างประเทศมีสูง โดยเฉพาะในลาว รวมทั้ง โครงการเมกะโปรเจ็กท์ในประเทศ แต่ก็ต้องคำนึงถึงต้นทุนก่อสร้างที่คาดจะพุ่งขึ้นสูงอาจกระทบมาร์จิ้นบริษัท หลังจากราคาน้ำมันปรับขึ้นไปเกินกว่า 100 เหรียญ/บาร์เรลแล้ว ส่งผลให้ราคาหุ้น CK ยังทรงตัว เพราะมีทั้งปัจจัยบวกและลบในเวลาเดียวกัน
จากการซื้อขายหุ้นในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา(25 ก.พ.-6 มี.ค.)ราคาหุ้น CK แกว่งตัวในช่วงกรอบ 7.80-8.20 บาท โดยปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 8.20 เมื่อ 26 ก.พ. และลงมาแตะต่ำสุดที่ 7.80 ในวันเดียวกัน โดยวันนี้ (6 มี.ค.) ปิดเที่ยงราคาอยู่ที่ 8.00 บาท บวก 0.05 (+0.63%)
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น)
บล.ยูไนเต็ด ซื้อเมื่ออ่อนตัว 10.90
บล.กรุงศรีอยุธยา เทรดดิ้ง 10.70
บล.โกลเบล็ก ซื้อ 10.50
บล.บีฟิท ซื้อ 9.80
บล.นครหลวงไทย ซื้อเก็งกำไร 9.50
บล.ดีบีเอสฯ ถือ 8.86
บล.กิมเอ็งฯ เต็มมูลค่า 8.45
นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า หุ้น CK ยังน่าสนใจ ลงทุนได้ เพราะยังรอข่าวดีเรื่องการก่อสร้างโครงการเมกะโปรเจ็คต์ของภาครัฐ และโครงการในต่างประเทศก็มีโอกาสขยายตัวสูง เช่น โรงไฟฟ้าโครงการน้ำบากในประเทศลาว เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีกำไรจากการขายหุ้นบมจ.น้ำประปาไทย(TTW)
"ตอนนี้น่าลงทุนราคายังต่ำอยู่ ช่วงนี้ราคาทรงๆ ไม่ลงไม่ขึ้น แต่พร้อมรีบาวน์ fair price ให้ 10 บาท แนวรับอยู่ที่ 7.90 ส่วนแนวต้าน 8.40 บาท...ต้วนี้ถือระยะยาวได้รับเมกะโปรเจ็คต์ในประเทศที่จะมีการตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่ม ทั้งปีนี้เล่นได้ น่าจะมี potential ดีกว่าปีก่อนที่รัฐบาลปีก่อนไม่มีความชัดเจน"นายภูวดล กล่าว
น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย)เห็นว่า กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง รวม CK อาจจะต้องคำนึงถึงราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นมาสูง จึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากการทำธุรกิจกลุ่มรับเหมากำหนดราคารับงานไว้ก่อนแล้วมาก่อสร้างภายหลัง จึงมีโอกาสที่จะเกิด cost overrun ค่อนข้างสูง
ฉะนั้น โอกาสที่ผู้รับเหมาจะได้รับผลกระทบจากการที่ต้นทุนสูงขึ้นจึงมีมาก และอาจทำให้อัตรากำไรขั้นต้นแย่กกว่าที่บริษัทคาดการณ์ไว้ แต่ขณะเดียวกัน กลุ่มนี้จะมีปัจจัยบวก คือ โครงการเมกะโปรเจ็คต์ และการฟื้นตัวของการลงทุนภายในประเทศ
"เวลาดูหุ้นกลุ่มรับเหมาดูยาก จะขึ้นก็ขึ้นยาก เพราะ concern เรื่อง cost แต่จะลงก็ไม่ลง เพราะจะมีข่าวดีเรื่อง project ใหม่ที่จะเข้ามา ก็เลยอีหลักอีเหลื่อพอสมควร ในแง่การลงทุนพอเราเจอหุ้นที่มี mix factor อย่างนี้ เราก็พยายามหลีกเลี่ยงให้น้ำหนักการลงทุน คืออาจเก็งกำไรได้บางช่วง"น.ส.อาภาภรณ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม มองว่าการลงทุนหุ้น CK รวมถึงหุ้นในกลุ่มรับเหมา ควรจะรอให้ราคาอ่อนตัวกว่านี้ เพราะโครงการเมกะโปรเจ็คต์คงไม่เกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ ขณะที่ในด้านต้นทุนได้เพิ่มขึ้นแล้วจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นไปเกินกว่า 100 เหรียญ/บาร์เรลแล้ว
ส่วนความเห็นของบล.นครหลวงไทย ประเมิน CK เน้นการประมูลงานต่างประเทศ เพราะยังไม่เห็นสัญญาณของการฟื้นตัวที่เป็นรูปธรรมของการประมูลงานในประเทศ โดยงานสัมปทานจากประเทศลาว อาทิ งานก่อสร้างเขื่อนน้ำบาก 1 และ 2 มูลค่า 9,100 ล้านบาท มีอัตรากำไรขั้นต้นในระดับสูงกว่า 10% จะสามารถชดเชยกับงานเก่าที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้
ณ สิ้นปี 50 CK มี Backlog 17,700 ล้านบาท ไม่รวมงานใหม่ที่เตรียมสัญญาอีก 3 โครงการ รวม 3,550 ล้านบาท และบริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้โครงการเขื่อนไซยะบุรีในลาวที่มีมูลค่าการลงทุนสูงเป็นประวัติการณ์กว่า 5 หมื่นล้านบาท
ปัจจัยดังกล่าวจะทำให้กำไรสุทธิในปี 51-53 เติบโตเฉลี่ยปีละ 52% โดยคาดจะมีกำไรสุทธิปี 51 เท่ากับ 180 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 15 ล้านบาทในปี 50 อีกทั้งยังมีปัจจัยบวกจากการเข้าประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง และบันทึกกำไรพิเศษจากการนำหุ้น บมจ.น้ำประปาไทย(TTW)เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
บทวิเคราะห์ของบล.กรุงศรีอยุธยา คาดว่า ผลประกอบการของ CK ในปี 51 ชะลอตัวลงต่อจากปีก่อน โดยคงคาดการณ์เดิมที่ว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานของ CK ยังไม่ฟื้นตัว รวมทั้งมีแนวโน้มที่จะขาดทุนมากขึ้นด้วย เพราะยอดการรับรู้รายได้ปีนี้น่าจะลดลง ผลต่อเนื่องจากการเซ็นสัญญางานที่น้อยในปี 50 โดยช่วง 9 เดือนปี 50 บริษัทมียอดเซ็นงานใหม่เพียง 5 พันล้านบาท
ขณะที่ต้นทุนก่อสร้างกำลังกดดันอัตรากำไรขั้นต้นโดยเฉพาะราคาเหล็กที่ปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงใน ไตรมาส 1/51 ความหวังของบริษัทจึงอยู่ที่งานใหม่อันได้แก่ โครงการสร้างเขื่อนน้ำบาก 1 และ 2 ว่าจะเริ่มได้ทันในปี 51-52 หรือไม่ รวมทั้งโครงการรถไฟฟ้าของภาครัฐที่อาจส่งผลบวกในปี 52

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ