นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เปิดเผยว่า ธนาคารเกียรตินาคิน (KKP) ตั้งเป้าสินเชื่อรวมปี 63 เติบโต 7-9% สูงขึ้นจากปีก่อนที่ขยายตัว 4.2% เป็นผลมาจากสินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และสินเชื่อรายย่อยที่ยังมีแนวโน้มเติบโตในปีนี้ ขณะที่ธนาคารยังคงมีการควบคุมคุณภาพสินเชื่ออย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น หลังจากสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ณ สิ้นปี 62 ลดลงมาอยู่ที่ 4% จากสิ้นปี 61 ที่ 4.1%
ขณะเดียวกันปีที่ผ่านมาธนาคารยังครองอันดับ 1 ด้านงานวาณิชธนกิจที่มีธุรกรรมรายใหญ่หลายรายการ เช่น การเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ของ บมจ. แอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC) และธุรกิจ Wealth Management และธุรกิจจัดการกองทุน ซึ่งมีสินทรัพย์ภายใต้คำแนะนำหรือการจัดการ (Asset Under Advice: AUA) ในระดับสูงกว่า 6 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 61 ที่มีอยู่กว่า 4 แสนล้านบาท
ธนาคารวางเป้าหมายจะลด NPL ในปีนี้ลงมาอยู่ที่ระดับ 3.9% จาก 4% ในปีก่อน ตามการควบคุมคุณภาพหนี้ที่ดี แม้ว่าธนาคารจะยังมีการปล่อยสินเชื่อในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงอยู่ก็ตาม แต่จะเพิ่มความระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น เพื่อป้องกันหนี้เสียที่จะเกิดขึ้น ประกอบกับการที่มีสินเชื่อเติบโตก็ส่งผลให้ NPL ของธนาคารปรับตัวลดลงตามไปด้วย
ด้านธุรกิจตลาดทุนของธนาคารในปีนี้แม้ว่ายังมีปัจจัยเสี่ยงค่อนข้างมาก ทำให้การลงทุนในตลาดทุนมีความผันผวน แต่ธนาคารก็ยังจะพยายามทำให้มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้คำแนะนำหรือการจัดการเพิ่มขึ้น รวมไปถึงธนาคารยังมีงานด้านวาณิชธนกิจที่จะเป็นปัจจัยในการสร้างรายได้เข้ามาให้กับธนาคาร โดยเฉพาะดีล IPO ขนาดใหญ่ที่เตรียมเสนอขาย คือ บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) ที่จะประกาศราคาเสนอขาย IPO ในวันนี้ (5 ก.พ. 63) และยังมีดีล IPO ที่อยู่ในมืออีกมากกว่า 10 ดีล ซึ่งเตรียมทยอยประกาศออกมาในปีนี้ถึงปี 64 แต่ยังขึ้นอยู่กับภาวะของตลาดหุ้นและความพร้อมในจังหวะที่เหมาะสม ส่วนบมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก (OR) ซึ่งธนาคารเป็นที่ปรึกษาการเงินร่วม คาดว่าจะสามารถเสนอขาย IPO ภายในปี 63
ด้านนายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ และหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน บล.ภัทร กล่าวว่า บริษัทปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยในปี 63 ลดลงเหลือโต 2.2% จากเดิมที่คาดโต 2.8%เนื่องจากสถานการณ์ของการแพร่ระบาดไวรัสโคโรนาส่งผลต่อภาพรวมของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวไทยอย่างมาก เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนลดลงหลังจากรัฐบาลจีนสั่งห้ามให้ชาวจีนเดินทางท่องเที่ยวในและต่างประเทศแบบกรุ๊ปทัวร์ ซึ่งนักท่องเที่ยวจีนถือว่ามีสัดส่วนสูงถึง 28% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย และการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวคิดเป็น 12% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี)
ขณะเดียวกันงบประมาณปี 63 ที่มีความล่าช้า เพราะต้องรอการวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้ปัจจุบันการใช้งบประมาณล่าช้าไปแล้วถึง 4 เดือน กระทบต่อการเบิกจ่ายเม็ดเงินของโครงการต่าง ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในงบประมาณปี 62 ซึ่งในช่วง 4 เดือนนี้การเบิกจ่ายเม็ดเงินงบประมาณหายไปกว่า 20% หรือกว่า 2 แสนล้านบาท กระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในระยะสั้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในไตรมาส 1/63
ปัจจัยดังกล่าวกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา และจะต่อเนื่องในไตรมาส 1/63 ทำให้มีโอกาสเกิดการชะลอตัวค่อนข้างมาก ส่งผลให้แรงกดดันที่จะเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในปัจจุบันอยู่ที่นโยบายการเงิน ซึ่งในวันนี้ชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือ 1% จาก 1.25% เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ลดอัตราดอกเบี้ยลงมาเหลือต่ำกว่า 1.25% เพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจในภาวะที่เศรษฐกิจไทยเผชิญกับปัจจัยลบ แต่อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังต้องมีปัจจัยที่ช่วยพยุงจากนโยบายการคลังประกอบไปด้วย เพื่อช่วยฟื้นเศรษฐกิจไทยให้กลับมาดีขึ้นได้
นายฟิลิป เชียง ชอง แทน กรรมการผู้จัดการใหญ่ KKP กล่าวว่า กลยุทธ์ของสินเชื่อรายใหญ่ในปี 63 ธนาคารได้เริ่มจากการปรับโครงสร้างธุรกิจของสินเชื่อรายย่อยในปีก่อน ซึ่งเป็นการแบ่งธุรกิจของสินเชื่อรายย่อยให้มีความชัดเจนมากขึ้น โดยในส่วนของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ธนาคารได้มีผู้บริหารที่มีความชำนาญในด้านสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์เข้ามาร่วมงาน ซึ่งจะเข้ามาช่วยกำหนดทิศทางการดำเนินงานของสินเชื่อรถยนต์ได้ดีมากขึ้น และช่วยขยายฐานลูกค้าของธนาคาร
โดยที่สินเชื่อรถยนต์ของธนาคารยังคงเน้นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสองเป็นหลัก มีสัดส่วน 63% ของพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ใหม่มีสัดส่วน 37% ซึ่งการที่ธนาคารยังคงเน้นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสองเป็นหลัก เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีความชำนาญ และมีมาร์จิ้นที่ดี โดยมาร์จิ้นของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์อยู่ในระดับสูง 8.5% เป็นปัจจัยหนุนที่ช่วยให้อัตราส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ของธนาคารยังอยู่ในระดับสูงราว 4.6-4.8%
นอกจากนี้ธนาคารยังมีแผนรุกสินเชื่อส่วนบุคคลด้วยเช่นกันในปีนี้ โดยคาดหวังการปรับโครงสร้างใหม่ของธุรกิจสินเชื่อรายย่อยในปีนี้จะทำให้สินเชื่อรายย่อยในปี 63 เติบโตได้ในระดับตัวเลข 2 หลัก หรือไม่ต่ำกว่า 10% ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนภาพรวมของสินเชื่อรวมของธนาคารให้เป็นไปตามเป้าหมายเติบโต 7-9%