น.ส.รำภา คำหอมรื่น รองประธานฝ่ายบัญชีและการเงิน บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์(BIGC) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมงบลงทุนประมาณ 6.2 พันล้านบาท เพื่อใช้ปรับปรุงสาขาเดิมและขยายสาขาเพิ่มอีกราว 8 สาขาในปีนี้ โดยเน้นสาขาต่างจังหวัดเป็นหลัก คือ อยุธยา ราชบุรี สุโขทัย เพชรบูรณ์ ชัยภูมิ กระบี่ นวนคร และ ธัญญบุรี ซึ่งจะทำให้สิ้นปี 51 มีสาขาเพิ่มเป็น 62 สาขา จาก 54 สาขาในปี 50
สำหรับการขยายสาขาดังกล่าวจะเป็นรูปแบบ Compact ขนาดพื้นที่ประมาณ 6 พัน ตร.ม.จำนวน 5 สาขา ส่วนอีก 3 สาขาที่เหลือจะเป็นรูปแบบ Standard ขนาดพื้นที่ 1 หมื่น ตร.ม.โดยประมาณ โดยจะพัฒนาเป็นรูปแบบเจนเนอเรชั่น 4(G4) ภายใต้แนวคิดที่ทันสมัย เพื่อสร้างความแตกต่างและเพิ่มขีดความสามารถของ BIGC ในการเข้าถึงพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภค
นอกจากนี้ คาดว่าในปีนี้จะยังคงรักษาอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องต่อไป และคาดว่าสิ้นปี 51 สมาชิกบัตรบิ๊กซี ช็อป พลัส จะเพิ่มเป็น 1.2 แสนคนจาก 8 หมื่นคนในขณะนี้
น.ส.รำภา คาดว่า ทั้งยอดขายและกำไรปี 51จะมีอัตราเติบโตในระดับไม่ต่ำกว่า 10% จากปี 50 ที่มียอดขาย 6.16 หมื่นล้านบาท และกำไร 2.5 พันล้านบาท และจะพยายามรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับ 16-17% จากปี 50 ที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 17.4% รวมทั้งตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดจาก 34% ในปี 50
โดยปัจจัยที่จะสนับสนุนการเติบโตมากจากการขยายสาขาใหม่ในปีนี้จำนวน 8 สาขา โดยสาขาแรกคือ ที่อยุธยา เปิดไปเมื่อ 27 ก.พ.ที่ผ่านมา ส่วนอีก 7 สาขาจะทยอยเปิดในในไตรมาส 2 จำนวน 5 สาขา คือ สุโขทัย, บ้านโป่ง จ.ราชบุรี, ชัยภูมิ, เพชรบูรณ์ และกระบี่ ส่วนที่จะเปิดในไตรมาส 3 คือ ธัญบุรีและนวนคร รวมทั้งปรับปรุงสาขาเดิม
สำหรับเงินลงทุน 6.2 พันล้านบาท จะมาจากเงินทุนหมุนเวียน โดยบริษัทมีกระแสเงินสดรับเฉลี่ยต่อปี 8% ของยอดขาย และจะมีการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินในประเทศ ซึ่งปัจจุบัน บริษัทมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ที่ 0.1 เท่า จากนโยบายที่กำหนดไว้ที่ 0.7 เท่า
ทั้งนี้ คาดว่าการปรับปรุงสาขาจะเสร็จสมบูรณ์ครบทั้ง 54 สาขา ในราวไตรมาส 3 ปีนี้ ซึ่งมั่นใจว่าจากการเปิดสาขาใหม่และปรับปรุงสาขาเดิม จะช่วยผลักดันยอดขายและรายได้ปีนี้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
"โดยปกติเปิดสาขาใหม่ที่เป็นสาขาขนาดใหญ่ (สแตนดาร์ด) 1 สาขา ยอดขายจะเพิ่มขึ้น 1 พันล้านบาทโดยประมาณ ซึ่งสาขาที่จะเปิดในปีนี้ที่มีเป็นสแตนดาร์ด 3 สาขา ส่วนคอมแพคและมินิคอมแพคยอดขายจะลดหลั่นกันลงมา"น.ส.รำภา กล่าว
น.ส.รำภา กล่าวว่า บริษัทจะมีการประชุมบอร์ประมาณ เดือน มี.ค.นี้ เพื่อรับรองผลการดำเนินงานประจำปี 50 ซึ่งจะมีการพิจารณาการจ่ายเงินปันผลงวดปี 50 ซึ่งตามนโยบายจะจ่ายไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิ แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทจะจ่ายในอัตรา 60% ของกำไรสุทธิ
--อินโฟเควสท์ โดย นิศารัตน์ วิเชียรศรี/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--