(เพิ่มเติม) BEC คาดปี 63 พลิกเป็นกำไร พร้อมวางแผน 4 ปีรุกหนักธุรกิจใหม่ลดบทบาทธุรกิจทีวีหวังกระจายความเสี่ยง

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday January 28, 2020 17:42 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอริยะ พนมยงค์ กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.บีอีซี เวิลด์ (BEC) มั่นใจว่าผลประกอบการในปี 63 จะพลิกเป็นกำไร จากการเพิ่มรายได้จากลุ่มธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะธุรกิจขายลิขสิทธิ์คอนเทนท์ในตลาดต่างประเทศที่ตั้งเป้าภายในปี 66 จะผลักดันรายได้ให้เติบโตขึ้นเป็น 2 เท่าจากปีก่อน หลังจากประสบความสำเร็จปิดดีลกับ Tencent จากจีน รวมถึงธุรกิจดิจิทัล ซึ่งเดิมอยู่ภายใต้ชื่อ MELLO จะเปลี่ยนเป็น 3+ พร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการปลายเดือน ก.พ.นี้ ก็ตั้งเป้าเพิ่มรายได้ให้เติบโต 2 เท่าเช่นกัน

นอกจากนี้ บริษัทวางแผนใน 4 ปีข้างหน้าหรือภายในปี 66 จะปรับสัดส่วนรายได้จากธุรกิจใหม่ให้เพิ่มขึ้นเป็น 35% และธุรกิจทีวีลดเหลือเพียง 65% จากปัจจุบันที่พึ่งพิงรายได้หลักจากธุรกิจทีวีถึง 85% ที่เหลือมาจากธุรกิจอื่น เพื่อกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ โดยเบื้องต้นรายได้ของธุรกิจใหม่จะมาจาก 6 ธุรกิจ ได้แก่ New Media, ขายคอนเทนท์ไปต่างประเทศ, ดิจิทัล, New Content, บริหารศิลปิน และ Data

"ปีนี้คงเป็นปีที่สำคัญ มีความหวังกับปี 2020 ปีนี้ต้องเห็นผลประกอบการที่บวก เป็นเป้าหมายระยะสั้น ส่วนระยะยาว ธุรกิจใหม่จะใช้เวลาเติบโตกว่าจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 35%"นายอริยะ กล่าว

นายอริยะ กล่าวว่า ในปี 62 ภาพรวมธุรกิจสื่อหดตัว 2% โดยสื่อทีวีปรับตัวลง 7% ขณะที่สื่อดิจิทัล เพิ่มขึ้น 19% และโฮมช้อปปิ้ง เติบโต 38% สำหรับ BEC ผลประกอบการรงวด 9 เดือนปี 62 ขาดทุน 138 ล้านบาท แม้ว่าในไตรมาส 3/62 จะมีกำไร 93.59 ล้านบาท อย่างไรก็ดี บริษัทได้ปรับกลยุทธ์งานด้านข่าว การบุกเบิกตลาดต่างประเทศ ซึ่งทำได้ค่อนข้างดี ทำให้ BEC เริ่มเป็นที่รู้จักในต่างประเทศในฐานะผู้ผลิตคอนเทนท์ละคร อีกทั้งล่าสุดได้จับมือกับเทนเซ็นต์ด้วย

ขณะที่ปี 63 ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยเฉพาะสหรัฐ อังกฤษ จีน ส่วนไทย เศรษฐกิจก็เติบโตช้า ทั้งนี้ คาดว่าการใช้จ่ายผ่านสื่อ (ADEX) น่าจะปรับตัวลง บริษัทจึงได้มีการปรับกลยุทธ์ธุรกิจที่จะกระจายไปสู่ธุรกิจใหม่มากขึ้น ขณะเดียวกันให้ความสำคัญคอนเทนท์ โดยคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติแผนปี 63 แล้ว กำหนดวิสัยทัศน์"ผู้นำทางด้านคอนเทนท์และธุรกิจบันเทิงของประเทศไทย"ด้วยการปรับเปลี่ยน BEC ให้เป็นองค์กรที่มีความคล่องตัวและมีความคิดไปข้างหน้า ยกระดับดีเอ็นเอความคิดสร้างสรรค์ของช่อง 3 เพื่อส่งมอบความสดใหม่ด้วยคอนเทนท์ที่เชื่อมโยงกับผู้ชมในปัจจุบันและใช้เทคโนโลยีกับการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อเป็นสื่อที่มีประสิทธิภาพผ่านทุกช่องทางหน้าจอ ทั่วไทยและต่างประเทศ

"เราไม่ได้มองข้ามธุรกิจทีวี หัวใจของเรา คือ คอนเทนท์ เห็นว่าคอนเทนท์เป็นสิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องการ เป็นสิ่งดึงดูผู้บริโภค...คอนเทนท์ ละคร ข่าว ทำมา 50 ปี เป็นสิ่งที่ดีอยู่ ไม่ทิ้ง เอามาใช้ผลิตคอนเทนท์ใหม่ ตอบโจทย์ผู้ชม ณ วันนี้ที่มีความท้าทาย จากเดิมมีจอเดียวดูทั้งครอบครัว ตอนนี้มีทางเลือก คอนเทนท์ก็ต้องมีความหลากหลาย นำเอาเทคโนโลยีตอบโจทย์แบรนด์ของเรา โชว์ความเป็นสื่อโฆษณา สื่อเราทำให้มีประสิทธิภาพ มีผลที่จับต้องได้ทุกหน้าจอ ไม่ว่าจะเป็นทีวี Taplet และก็ไม่ได้มองแค่ประเทศไทย มองว่าตลาดโลกเป็นตลาดที่ใหญ่มาก"นายอริยะ กล่าว

ในส่วน New Media การทำในรูปแบบ Direct to Consumer (D2C) ที่ร่วมกับเซเว่น-อีเลฟเว่น เมื่อปลายปี 62 โดยให้คูปอง หรือ คิวอาร์โค้ดเพื่อใช้ซื้อสินค้าในร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น ผ่านการชมละครของช่อง 3 ทำให้เพิ่มยอด traffic เข้าร้าน ซึ่งขณะนี้ได้เจรจากับพันธมิตรอีกหลายรายในการดำเนินการในรูปแบบเดียวกัน คาดว่ารายต่อไปจะได้เห็นความร่วมมือกันในเดือน ก.พ.นี้

ส่วน New Content นายอริยะ กล่าวว่า BEC จะแถลงทิศทางธุรกิจในวันที่ 4 ก.พ.นี้ โดยผังรายการจะแตกต่างจากเดิม และจับช่วงไพรม์ไทม์ใหม่จากเดิมอยู่ในช่วงเวลา 20.20 น. แต่จากพฤติกรรมผู้บริโภคปัจจุบันพบว่า ช่วง 18.00 -22.30 น.เป็นช่วงไพรม์ไทม์นั้น แบ่งย่อยเป็น 3 ช่วง คือ 1.ช่วงเวลา 18.00-19.00 น.เป็นช่วงเลิกงานและกำลังกลับบ้าน จะมีคอนเทนท์ใหม่ 2.ช่วงพีคสุด 19.00-20.20 น.เป็นช่วงเวลาครอบครัว มองว่าเป็นตลาด Mass จะมีการทุ่มผลิตคอนเทนท์ใหม่ โดยเฉพาะละคร ที่มองว่ายังไปได้ดี และ 3. ช่วงเวลา 20.20-22.30 น. เป็นช่วงที่กลุ่มคนในเมืองหรือหัวเมืองยังดูจออยู่ ก็จะมีการปรับรูปแบบรายการนำเสนอเล่าเรื่องให้กระชับขึ้น

ขณะที่ดีลการขายลิขสิทธิ์ละคร ขณะนี้ได้ปิดดีลกับผู้ที่สนใจ 3 รายแล้วทั้งในประเทศและต่างประเทศ หลังจากเริ่มเจรจาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และยังมีการเจรจาอีก 1 รายกับ OTT ต่างประเทศ

"สิ่งที่เรามองว่าทำอย่างไรในปี 2020 หวังว่าเราจะเกาถูกจุด สิ่งที่ต้องปรับคือเรื่อง คอนเทนท์ เพราะทุกอย่างที่ทำเน้นที่ช่วง 18.00-22.30 น. ส่วน D2C จะทำให้เรากลายเป็นสื่อที่มีประสิทธิภาพ ไม่ขึ้นกับเรตติ้ง ลูกค้าจะดูผลการใช้สื่อ เป็นสิ่งที่จะเปลี่ยนเกม ธุรกิจ inter (ขายลิขสิทธิละครไปต่างประเทศ) ตั้งธงปีนี้โต 2 เท่า และธุรกิจดิจิทัล จะทำให้เรามีกำไร ...การปรับตัวธุรกิจยิ่งทำได้เร็วเรายิ่งจะกลับมาได้เร็ว"นายอริยะ กล่าว

ทั้งนี้ ปัจจุบันฐานลูกค้าทีวีช่อง 3 ที่เช้าถึง (REACH) มีอยู่ 50 ล้านคน

นอกจากนี้ ยังมีส่วนธุรกิจโฮมช้อปปิ้ง ซึ่งมีหลายรายเข้ามาดำเนินการส่วนนี้ผ่านช่อง 3 จากเดิมที่มีเพียงทีวีไดเร็ค โดยคาดว่าจะเริ่มมีเพิ่มเติมเข้ามาในเดือน ก.พ.นี้ ขณะที่ BEC เองก็สนใจและเตรียมที่จะทำธุรกิจโฮมช้อปปิ้งด้วย แต่จะมีรูปแบบที่แตกต่างออกไปจากช่องอื่นๆ

https://youtu.be/IOCU6bOtbho


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ