PERM เผยราคาเหล็กพุ่ง-บาทแข็ง-ผลิตเพิ่ม ดันรายได้ปี 51 โต 10%

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday March 7, 2008 15:43 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          บมจ.เพิ่มสินสตีลเวิร์ค(PERM)คาดราคาเหล็กพุ่ง-บาทแข็ง ขณะที่มีสต็อกเก่าอีก 2.5-3.0 หมื่นตันที่กว่า 60% เป็นต้นทุนเดิมแต่ขายราคาใหม่ หนุนรายได้ปี 51 เติบโต 10% รวมทั้ง แผนเพิ่มกำลังผลิตปีนี้เป็น 1.2 แสนตัน จาก 1 แสนตัน ทยอยเปิดตัวสินค้าใหม่ เริ่มเดินเครื่องผลิตโครงเหล็กหลังคา 300-400 ตันในไตรมาส 2/50  
นายชูเกียรติ ยงวงศ์ไพบูลย์ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ PERM เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า โดยคาดว่ารายได้ปีนี้น่าจะเติบโตราว 10% จากปีก่อนที่มีรายได้กว่า 2,000 ล้านบาท เนื่องจากราคาเหล็กที่สูงขึ้น และยังมองทิศทางในปีนี้คงปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง
"ผลประกอบการปี 50 กำไรลดลงเนื่องจากปีที่แล้วช่วงไตรมาส 1-2-3 เหล็กราคาตกลงมามาก ปีนี้เนื่องจากราคาเหล็กที่ปรับสูงขึ้นและเรายังมีสต็อกเก่าอยู่ ผลประกอบการสำหรับปีนี้น่าจะดีกว่าปีที่แล้ว กำไรน่าจะเยอะกว่าปีที่แล้ว"นายชูเกียรติ กล่าว
*แนวโน้มราคาเหล็กยังสูงขึ้นต่อเนื่อง-บาทแข็ง-สต็อกเก่าต้นทุนเดิมขายราคาใหม่
นายชูเกียรติ กล่าวว่า ปัจจุบันราคาเหล็กปรับสูงขึ้นมาประมาณ 35% จากปลายปีที่แล้วแล้วอยู่ที่ 560-580 เหรียญสหรัฐ/ตัน มาอยู่ที่ 970-980 เหรียญสหรัฐ/ตัน ขณะที่บริษัทยังมีสต็อกเก่าที่มีต้นทุนต่ำอยู่ ปัจจัยจุดนี้น่าจะทำให้ผลประกอบการไตรมาส 1/51 ดีขึ้น และส่งผลต่อผลประกอบการปีนี้ดีกว่าปีก่อนด้วย
"ไตรมาส 1/51 กำไรสุทธิน่าจะดีขึ้นมาก โดยยอดขายจะดีในช่วงไตรมาส 1-2 ของทุกปี ปีนี้ราคาเหล็กน่าจะสดใสมองว่าน่าจะขึ้นจากนี้ไปอีกประมาณ 20% ในปีนี้"นายชูเกียรติ กล่าว
นายชูเกียรติ กล่าวว่า ราคาสินแร่เหล็กปรับตัวสูงขึ้นมากตามความต้องการของตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น แต่ซัพพลายไม่สมดุลกัน โดยความต้องการเหล็กในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วประมาณ 13% สูงกว่าปกติที่เคยโตปีละ 10% เนื่องจากปีนี้มีโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการทั้งในจีนและตะวันออกกลาง คิดว่าตัวเลขความต้องการเหล็กในตลาดโลกจะเพิ่มขึ้นไปถึง 15% ได้ ไม่ใช่เฉพาะ PERM ในกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กทั้งหมดปีนี้น่าจะสดใสขึ้นมาก
ขณะที่บริษัทมีสต็อกเก่าอยู่ประมาณ 2.5-3.0 หมื่นตันที่มีต้นทุนเดิมประมาณ 60% ซึ่งคงจะขายได้ประมาณ 90 วัน โดยต้นทุนเดิมเฉลี่ยอยู่ที่ 600 เหรียญสหรัฐ/ตัน และส่วนหนึ่งจะขายในราคาใหม่ที่มีการเจรจานราคาใหม่อยู่ตลอดเวลา ไตรมาส 1/51 ได้ปรับราคาขายขึ้นมาประมาณ 25% จากปลายปีที่แล้ว
สำหรับเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทำให้บริษัทได้รับอานิสงค์ตรงนี้ด้วยในฐานะที่เป็นผู้นำเข้าและมีรายจ่ายเป็นดอลลาร์ ขณะที่ราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นต่อเนื่องไม่กระทบมากเพราะลูกค้า 90% อยู่ใน กทม.และปริมณฑลและค่าขนส่งได้บวกในราคาขายแล้ว
"ผลประกอบการปี 50 กำไรลดลงเนื่องจากปีที่แล้วช่วงไตรมาส 1-2-3 เหล็กราคาตกลงมามาก ปีนี้เนื่องจากราคาเหล็กที่ปรับสูงขึ้นและเรายังมีสต็อกเก่าอยู่ ผลประกอบการสำหรับปีนี้น่าจะดีกว่าปีที่แล้วเยอะ กำไรน่าจะเยอะกว่าปีที่แล้ว"นายชูเกียรติ กล่าว
เรื่องพันธมิตรยังไม่มีการเจรจาใดๆในช่วงนี้ ในอนาคตเตรียมเจรจาหรือไม่ เนื่องจากของเราอยู่ในระดับกลางๆ คิดว่าการที่จะไปร่วมทุนกับใครตอนนี้ยังไม่จำเป็น
*เริ่มผลิตเพิ่มโครงสร้างหลังคาเหล็กใน Q2/51 อัตรากำไรขั้นต้นสูง
นายชูเกียรติ กล่าวว่า บริษัทมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตในปีนี้อีกกว่า 10% หรืออยู่ที่ประมาณ 1.2 แสนตัน/ปี จากปีที่แล้วอยู่ที่ 1 แสนตัน/ปี และผลิตภัณฑ์ใหม่คงมีเรื่อยๆ ในปีนี้ ที่กำลังทดสอบอยู่จะเป็นหลังคาเหล็กโครงสร้างตัวใหม่ซึ่งจะสามารถลดต้นทุนได้ประมาณ 20% โดยไตรมาส 1/51 อยู่ระหว่างการทดสอบเดินเครื่องแต่จะเริ่มกำลังการผลิตในเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 2/51 ซึ่งเหล็กตัวนี้อัตรากำไรขั้นต้นประมาณ 13% สูงกว่าอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยอยู่ที่ 10%
"หลังคาเหล็กโครงสร้างสำหรับปีแรกนี้ยังไม่เยอะ เบื้องต้นกำลังการผลิตเดือนละประมาณ 300-400 ตัน แต่เป้าหมายถ้าผลิตเต็มที่เดือนละประมาณ 1,000 ตัน ถึงจะใช้ได้ โดยไตรมาส 1 นี้เริ่มทดสอบเดินเครื่องจักรอยู่ แต่ไตรมาส 2/51 ถึงจะรับรู้รายได้จากโครงเหล็กตัวใหม่"
ส่วนเหล็กกระป๋องก็ยังดีอุตสาหกรรมกระป๋องตอนนี้ดีเนื่องจากการส่งออกทูน่ากระป๋องตอนนี้ดีมาก ขณะที่ผลิตภัณฑ์หลักจะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และไฟฟ้า โดยขายในประเทศทั้งหมดเพราะส่งออกปีนี้ยังไม่มี
นายชูเกียรติ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทคงไม่มีการลงทุนใหม่เพิ่มเติมอีก จากที่ได้สร้างโรงงานใหม่เสร็จแล้วเริ่มใช้งานเดือนนี้และจะมีเครื่องจักรที่สั่งไปตั้งแต่ปีที่แล้วทยอยเข้ามาทั้งโรงงานโครงเหล็กและเป็นคลังเก็บสินค้าด้วย

แท็ก (PERM)   เหล็ก  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ