โบรกฯเชียร์"ซื้อ"TU เล็งผลงาน Q1/63 ฟื้นขานรับบาทอ่อนค่า-ราคาทูน่าขยับขึ้นหนุนมาร์จิ้น-ต้นทุนยังต่ำ

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday February 19, 2020 13:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ต่างเชียร์"ซื้อ"หุ้นบมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) เล็งผลดำเนินงานงวดไตรมาส 1/63 ฟื้นตัวชัดเจน หลังเงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบสกุลหลัก และราคาทูน่าในช่วงต้นปีปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ราว 1,350 ดอลลาร์ต่อตัน ซึ่งจะทำให้ลูกค้า OEM ชะลอการสั่งซื้อในช่วงก่อนหน้าเริ่มกลับมาสั่งซื้ออีกครั้ง

ขณะที่ต้นทุนจากสต็อคปลาทูน่ามีราคาต่ำในไตรมาส 4/62 ทำให้มาร์จิ้นของ TU ดีขึ้น อีกทั้งยังหันไปเน้นขายสินค้าที่ให้มาร์จิ้นสูง รวมถึงการควบคุมค่าใช้จ่าย SG&A ที่อาจดีกว่าคาดได้

ทั้งนี้ ปี 63 เป็นปีที่หลายปัจจัยดีขึ้น พร้อมคาดการณ์กำไรปกติในปีนี้ 4,900-6,000 ล้านบาท จากปีที่แล้วที่มีกำไรปกติประมาณ 5,200 ล้าบาท

ราคาหุ้น TU ปิดช่วงเที่ยงวันนี้ที่ 15.60 บาท ลดลง 0.10 บาท (-0.64%) ขณะที่ SET +0.19%

          คันทรี่ กรุ๊ป                    ซื้อ                   20.40
          ทรีนีตี้                        ซื้อ                   19.00
          เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย)    ซื้อ                   18.90
          ฟินันเซีย ไซรัส                 ซื้อ                   18.50
          ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย)   ซื้อ                   18.50
          กรุงไทย ซีมิโก้                 ซื้อ                   17.90
          กรุงศรี                       ซื้อ                   17.50
          ฟิลลิป (ประเทศไทย)            ซื้อ                   17.90
          เคทีบี (ประเทศไทย)            ซื้อ                   17.00

น.ส.สุทธาทิพย์ พีรทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มผลดำเนินงานของ TU ในปีนี้จะดีกว่าปีที่แล้ว โดยเฉพาะในไตรมาส 1/63 จะเห็นการฟื้นตัวดี จากเงินบาทที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ, เงินยูโร และเงินปอนด์ อีกทั้งราคาปลาทูน่าก็เริ่มขยับขึ้นในไตรมาส 1/63 ขณะที่สต็อคปลาทูน่าที่ราคาต่ำในไตรมาส 4/62 ทำให้มาร์จิ้นของ TU ดีขึ้น อีกทั้ง TU ยังหันมาเน้นขายสินค้าที่ให้มาร์จิ้นดีด้วย อย่างกุ้ง เป็นต้น

พร้อมคาดการณ์กำไรปกติในปี 63 ไว้ที่ 6,000 ล้านบาท เติบโต 14% จากปี 62 ที่มีกำไรปกติประมาณ 5,200 ล้าบาท

ด้าน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุคาดกำไร TU ในไตรมาส 1/63 จะโตเด่นทั้ง QoQ และ YoY เพราะฐานต่ำ อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นมาก YoY และค่าเงินบาทอ่อนค่า QoQ ประมาณการมี Upside จาก GPM ที่มีโอกาสดีกว่าคาด เพราะมีสต๊อกต้นทุนปลาทูน่าที่ราคาค่อนข้างต่ำ รวมถึงการควบคุมค่าใช้จ่าย SG&A ที่อาจดีกว่าคาดได้

ทั้งนี้ ปี 63 เป็นปีที่หลายปัจจัยดีขึ้น การแข็งค่าของเงินบาทเริ่มกลับทางเป็นการอ่อนค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ค่าเงินยูโรและค่าเงินปอนด์ ด้านต้นทุนวัตถุดิบปลาทูน่าปรับตัวลงต่อเนื่องในปี 62 และต่ำลงมากช่วงครึ่งปีหลัง (H2/62) แล้วกลับมาฟื้นตัวในไตรมาส 1/63 ทำให้ราคาขายตลาด OEM ซึ่งอิงราคาตลาด Spot ดีขึ้นในไตรมาส 1/63 ขณะที่มีต้นทุนต่ำ

ราคาเฉลี่ยทั้งปี 62 ของ Skipjack Tuna อยู่ที่ US$1,205/ตัน (-21% YoY) ต่ำสุดในรอบ 4 ปี โดยต่ำสุดในไตรมาส 4/62 ที่ US$950/ตัน (-21.9% QoQ, -32.5% YoY) ทำให้ลูกค้าชะลอการสั่งซื้อเพราะรอดูทิศทางราคา การที่ราคาเดือน ม.ค.63 เพิ่มขึ้นเป็น US$1,305/ตัน สูงสุดในรอบ 5 เดือน ทำให้ลูกค้าเริ่มกลับมาเร่งสั่งซื้อมากขึ้นจากความกังวลราคาปรับตัวขึ้นต่อ

พร้อมปรับประมาณการรายได้ปี 63 ลง 2.4% เป็น 1.32 แสนล้านบาท (+4.6% YoY) แต่ปรับประมาณการ GPM ขึ้นจาก 15.7% เป็น 16.2% ส่งผลให้กำไรปกติเพิ่มขึ้น 4.1% เป็น 5,097 ล้านบาท (+0.9% YoY)

ส่วน บล.ทรีนีตี้ ระบุแนวโน้มการดำเนินงานในปี 63 มองปัจจัยกดดันน้อยกว่าปีก่อน เนื่องจากมองค่าเงินบาทที่แข็งค่าตลอดปีก่อนเริ่มมีทิศทางที่อ่อนตัวลงบ้างแล้ว ส่วนราคาทูน่าที่อยู่ในระดับต่ำในช่วงครึ่งปีหลัง (H2/62) จะเริ่มส่งผลบวกต่ออัตรากำไรขั้นต้นในระยะถัดไป โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรก (H1/63) ขณะที่ราคาทูน่าในช่วงต้นปีปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ราว 1,350 ดอลลาร์ต่อตัน ซึ่งจะทำให้ลูกค้า OEM ที่ชะลอการสั่งซื้อในช่วงก่อนหน้าเริ่มกลับมาสั่งซื้ออีกครั้ง ในภาพรวมจึงคาดกำไรปี 63 จะอยู่ที่ราว 4.9 พันล้านบาท ฟื้นตัวราว 29%YoY


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ