นายพนม ควรสถาพร ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เอเชีย กรีน เอนเนอจี (AGE) กล่าวว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปี 63 ตั้งเป้ารายได้ 8,000 ล้านบาท จากปี 62 ที่มีรายได้ราว 6.2 พันล้านบาท โดยการเติบโตในปีนี้จะมาจากแผนขยายการลงทุนในธุรกิจโลจิสติกส์ ได้แก่ การต่อเรือลำเลียงเพิ่มเติม ซึ่งในช่วงกลางปีนี้จะมีเรือลำเลียงทั้งหมด 36 ลำ และเพิ่มเป็น 40 ลำในช่วงต้นปี 64 และจะลงทุนรถบรรทุกเพิ่มอีก 20 คัน ซึ่งจะทำให้มีรถบรรทุกทั้งหมด 55 คัน
ในส่วนท่าเรือได้มีการพัฒนาพื้นที่ท่าเรือแห่งที่ 3 บริเวณคลังสินค้านครหลวง ซึ่งแล้วเสร็จและเริ่มใช้งานแล้ว พร้อมเตรียมขยายท่าเรือที่ 4 ในบริเวณเดียวกัน เพื่อเพิ่มศักยภาพและความสามารถในการให้บริการขนถ่ายสินค้าให้ดียิ่งขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทมีสัญญาขนส่งสินค้า (Backlog) 1.2 ล้านตัน และตั้งเป้าปริมาณขนส่งสินค้าจากทั้งทางน้ำและทางบกในปีนี้กว่า 3.5-4 ล้านตัน โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ สินค้าเกษตร ยิปซั่ม และถ่านหิน เป็นต้น
นอกจากนี้ บริษัท เอจีอี เทอร์มินอล จำกัด บริษัทในเครือของ AGE ยังได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 45001:2018 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์นี้ ซึ่งถือเป็นการการันตีและยกระดับการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยแก่องค์กรของ AGE พร้อมทั้งยังเป็นการปูทางไปยังการดูแลชุมชนโดยรอบพื้นที่โรงงาน เพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของการคำนึงถึงความปลอดภัยและอาชีวอนามัยต่อไป
ส่วนธุรกิจถ่านหิน ซึ่งเป็นธุรกิจหลักนั้น บริษัทยังคงเดินหน้าขยายช่องทางการตลาด เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศเวียดนาม ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาความเหมาะสมในการพัฒนาพื้นที่คลังสินค้าเพิ่มเติม เพื่อการรองรับปริมาณลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้บริษัทตั้งเป้ายอดขายถ่านหินในปีนี้ไว้ที่ระดับ 3.6 ล้านตัน
สำหรับผลประกอบการงวดปี 62 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการ 6,196.2 ล้านบาท ลดลง 21.6% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยแบ่งเป็นรายได้จากการขายถ่านหิน 5,803.2 ล้านบาท ลดลง 22.44% รายได้จากธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ 393 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิ 272.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 114.4% เนื่องจากนโยบายลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และความพร้อมให้บริการด้านโลจิสติกส์
นายพนม กล่าวถึงราคาหุ้นของ AGE ว่า ปัจจุบันมีการซื้อขายที่ระดับ P/E 6 เท่า ถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมเดียวกันที่อยู่ที่ระดับ 7.41 เท่า ประกอบกับผลการดำเนินงานของบริษัทมีการเติบโตต่อเนื่อง และมีการขยายการลงทุนไปยังธุรกิจโลจิสติกส์ ซึ่งจะสามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับบริษัทได้ในอนาคต