นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบมจ.พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH) เปิดเผยว่า ในปี 63 บริษัทตั้งเป้ายอดขายที่ 3.8 หมื่นล้านบาท และเป้ารายได้รวมที่ 4 หมื่นล้านบาท ใกล้เคียงกับผลงานดำเนินงานปีที่แล้ว เนื่องจากมองว่าปีนี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะยังมีความท้าทาย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยผู้ประกอบการรายใหญ่ที่เป็นผู้นำตลาดจะมีความได้เปรียบกว่ารายเล็ก
ในปีนี้บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่รวม 30 โครงการในปีนี้ มูลค่า 3.6 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นทาวน์เฮาส์ 18 โครงการ บ้านเดี่ยว 6 โครงการ คอนโดมิเนียมกลุ่มแวลู 4 โครงการ และกลุ่มพรีเมียม 2 โครงการ เน้นทำเลศักยภาพและมีความต้องการซื้อจริง โดยจะเปิดขายในช่วงจังหวะเหมาะสม ควบคู่กับสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง โดยหัวใจสำคัญคือพัฒนาคุณภาพบ้านพร้อมนวัตกรรมการอยู่อาศัยเพื่อส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า
ปัจจุบัน บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ยังมีมูลค่าสูงถึง 2.9 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ในปีนี้ 1.09 หมื่นล้านบาท ที่เหลือจะทยอยรับรู้ใน 2-3 ปีข้างหน้า รวมถึงการเร่งดำเนินธุรกิจขายแผ่นพรีคาสท์ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้บริษัทมีรายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
ขณะที่ผลการดำเนินงานในปี 62 บริษัทสามารถทำยอดขายได้ 35,601 ล้านบาท รายได้ 39,885 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 5,359 ล้านบาท เปิดตัวโครงการทั้งสิ้น 36 โครงการ มูลค่า 41,170 ล้านบาท แม้จะยังไม่ถึงตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากมีการเลื่อนบางโครงการมาเปิดในปีนี้ โดยรวมถือว่ายังเป็นที่น่าพึงพอใจ เนื่องจากปีที่ผ่านมามีปัจจัยที่เหนือการควบคุมไม่ว่าจะเป็นสภาพเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย รวมถึงมาตรการ LTV ที่ทำให้ตลาดหดตัวลง
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม PSH เปิดเผยว่า ภาพรวมการขายของบริษัทในช่วงเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา การขายยังพอไปได้เรื่อยๆแต่ไม่ได้มีความหวือหวามาก เนื่องจากปัจจุบันปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในการซื้ออสังหาริมทรัพย์อยู่พอสมควร ทำให้ยอดขายในช่วงเดือนแรกของปี 63 จะยังไม่ได้สูงมากนัก แต่ในส่วนของการโอนในช่วงเดือน ม.ค.ที่ผ่านมาถือว่าทำได้ดีกว่าที่บริษัทคาดการณ์ไว้ แม้ว่าจะยังมีความเสี่ยงของการที่ธนาคารพาณิชย์ที่ยังมีความเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่ออยู่พอสมควร จะเห็นได้จากในช่วงไตรมาส 4/62 ที่ผ่านมาอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าที่ซื้อทาวน์เฮาส์ของบริษัทเพิ่มขึ้นมาสูงถึง 39% ทำให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อในสิ้นปีก่อนเพิ่มเป็น 12% จากเดิมที่ 5%
บริษัทยังคงเดินหน้าในการรักษาลูกค้าที่ถูกปฏิเสธสินเชื่อในการช่วยวางแผนด้านการเตรียมความพร้อมของลูกค้าอีกครั้งเพื่อยื่นกู้สินเชื่อกับทางธนาคาร ซึ่งคิดเป็นมูลค่าราว 9 พันล้านบาท ในส่วนของลูกค้ากลุ่มที่ถูกปฏิเสธสินเชื่อ ทำให้บริษัทไม่สูญเสียรายได้และสูญลูกค้าในกลุ่มนี้ไปด้วย โดยการช่วยเหลือลูกค้าบริษัทมีโครงการ Credit Smile เข้ามาช่วยให้คำปรึกษาในการวางแผนด้านการเงินของลูกค้าก่อนยื่นกู้กับทางธนาคาร
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์จะยังคงชะลอตัว แต่บริษัทได้พยายามหาช่องทางการสร้างรายได้อื่นๆมาเสริม โดยเฉพาะในส่วนของโรงงานผลิตพรีคาสท์ ซึ่งในปีนี้บริษัทจะเริ่มขายพรีคาสท์ให้กับผู้ประกอบการรายอื่นในช่วงเดือนมิ.ย. 63 เป็นต้นไป ซึ่งตั้งเป้ารายได้จากการขายพรีคาสท์ในช่วง 3 ปีนี้ไว้ที่ 500 ล้านบาท
ด้านความคืบหน้าของการก่อสร้างโรงพยาบาลวิมุติในปัจจุบันได้ก่อสร้างไปเกือบ 90% ซึ่งบริษัทได้เลื่อนการเปิดออกไปจากแผนงานเดิมที่จะเปิดให้บริการในช่วงปลายปี 63 มาเปิดให้บริการในช่วงเดือนพ.ค. 64 แทน เพื่อกระจายการใส่เม็ดเงินลงทุน ทำให้นำเม็ดเงินลงทุนบางส่วนมาใช้ในการลงทุนที่ดิน ซึ่งได้วางงบซื้อที่ดินในปี 63 ไว้ที่ 2 พันล้านบาท เพื่อนำมาซื้อที่ดินเกรด AA ในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม
ส่วนการระบายสต็อกที่มีอยู่มูลค่า 2.5 หมื่นล้านบาท จำนวนกว่า 7,000 ยูนิต ยังคงเดินหน้าไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างรายได้กลับมาให้กับบริษัท และในส่วนของการควบคุมต้นทุนทางการเงินในปีนี้ บริษัทจะมีการออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดอายุวงเงินรวม 7.1 พันล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็น 3 ช่วง ได้แก่ เดือนพ.ค. 63 วงเงิน 2 พันล้านบาท เดือนก.ค. 63 วงเงิน 2.6 พันล้านบาท และปลายปี 63 วงเงิน 2.5 พันล้านบาท อายุของหุ้นกู้ 3-5 ปี คาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะลดลง และทำให้ต้นทุนทางกาเงินของบริษัทปรับตัวลดลงตามไปด้วย