นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ผลิตภัณฑ์ตราเพชร (DRT) เปิดเผยว่า บริษัทคาดรายได้ปี 63 น่าจะทำได้ใกล้เคียงกับปี 62 เนื่องจากตลาดบ้านใหม่ไม่ได้เติบโตมากนัก เมื่อเทียบกับในอดีต แต่บริษัทได้ปรับกลยุทธ์หันมามุ่งเน้นตลาดซ่อมบ้านมากขึ้น คาดว่าสัดส่วนรายได้ปีนี้จะมาจากตลาดบ้านใหม่ 50% และตลาดซ่อมบ้าน 50% จากเดิม 60% และ 40% ตามลำดับ
ขณะที่แนวโน้มตลาดวัสดุก่อสร้างปีนี้คาดว่าจะเติบโตในระดับเดียวกับภาพรวมเศรษฐกิจ โดยมีปัจจัยหลักที่ต้องติดตาม คือ ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (ไวรัสโควิด-19) และผลกระทบจากภัยแล้งจะส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกรในภูมิภาคต่างๆ และภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ
ทั้งนี้ บริษัทจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาด เพิ่มเติม เช่น ผลิตภัณฑ์กลุ่มหลังคา, การนำเทคโนโลยี Digital Printing มาใช้ในกระบวนการพิมพ์ลวดลายที่มีความคมชัดสูงลงบนพื้นผิววัสดุ เป็นต้น เพื่อขยายตลาดใหม่ และเสริมความครบวงจรของผลิตภัณฑ์ภายใต้แนวคิด ‘สวยครบเซต ตราเพชรทั้งหลัง’ ซึ่งจะทำให้สินค้า "ตราเพชร" ตอบโจทย์การออกแบบและความต้องการใช้สินค้าเพื่อการตกแต่งที่อยู่อาศัยได้ดียิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าการเจรจากับพันธมิตรเพื่อนำโซลาร์รูฟมาผสมผสานกับหลังคา และนำไปติดตั้งให้แก่ลูกค้าที่สนใจ ปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งหากมีความชัดเจนจะแจ้งให้ทราบทันที
นอกจากนี้ บริษัทยังมองโอกาสขยายฐานลูกค้าใหม่ไปยังประเทศอื่นๆ เช่น อิสราเอล, อินเดีย, ฟิลิปปินส์ เป็นต้น จากปัจจุบันที่มีการส่งออกไปยังประเทศกลุ่ม CLMV เป็นหลัก หรือประมาณ 70% ของการส่งออกทั้งหมด โดยบริษัทคาดว่าจะยังคงรักษาระดับการส่งออกไว้เท่าเดิม จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนการส่งออกคิดเป็น 18% ของรายได้รวม
นายสาธิต กล่าวว่า บริษัทยังคงวางเป้าหมายรักษาอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยอยู่ในระดับ 25 – 27% โดยเน้นขายสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีผ่านกลยุทธ์การบริหาร Product Mix, การบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงรักษาอัตราการเดินเครื่องจักรเฉลี่ยอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 80 – 90% เท่ากับปีที่ผ่านมา เพื่อให้มีต้นทุนการผลิตสินค้าต่อหน่วยอยู่ในระดับต่ำ
ปัจจุบัน DRT มีสัดส่วนยอดขายจาก 4 ช่องทางหลัก ประกอบด้วย ช่องทางร้านค้าตัวแทนจำหน่ายรายย่อยประมาณ 50% ห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ 17 - 18% ลูกค้าโครงการ 15 – 16% และส่งออก 15 – 17% โดยบริษัทฯ จะรักษาสัดส่วนการขายสินค้าในประเทศจากทุกช่องทาง และเน้นการส่งออกสินค้าในกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงอย่างต่อเนื่องมาตลอด ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตลาดหลักของการส่งออกที่มีการเติบโตได้ดีในปีนี้
"ในปีนี้ถือเป็นปีที่ครบรอบ 35 ปีของ DRT ซึ่งบริษัทฯ ก็มีการวางแผนดำเนินธุรกิจมุ่งเน้นนำนวัตกรรมและเทคโนโลยี เข้ามาขับเคลื่อนกระบวนการผลิตให้ทันสมัย เพิ่มประสิทธิภาพภายในโรงงานและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันที่ดียิ่งขึ้น เพื่อนำบริษัทฯ ก้าวเป็นองค์กรด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตวัสดุก่อสร้าง"
สำหรับงบลงทุนปีนี้ตั้งไว้ที่ประมาณ 600 ล้านบาท เพื่อใช้ในการลงทุนติดตั้งระบบหุ่นยนต์ในโรงงานเพิ่มอีกประมาณ 10 ตัวในสายการผลิตสินค้ากลุ่มไม้สังเคราะห์และงานพ่นสีวัสดุ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนลงทุนต่อเนื่องติดตั้ง 50 ตัวแรกภายในระยะเวลา 5 ปี (ปี 62-66) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสู่ Process Innovation และรับมือปัญหาแรงงานขาดแคลน รวมถึงบริหารต้นทุนการผลิตในระยะยาวได้ดียิ่งขึ้น
พร้อมกันนั้นจะลงทุนติดตั้งเครื่องจักรใหม่ในสายการผลิตไฟเบอร์ซีเมนต์ NT-11 เพื่อขยายกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มไม้สังเคราะห์ 5.5 หมื่นตันต่อปี ซึ่งเป็นตลาดที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะติดตั้งเครื่องจักรแล้วเสร็จปลายปีนี้ และเริ่มเดินเครื่องจักรผลิตเชิงพาณิชย์ต้นปี 64, บำรุงรักษาเครื่องจักรให้อยู่ในสภาพที่ดีและใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อขายที่ดินจำนวน 50 ไร่ ให้แก่ผู้ที่สนใจ โดยแบ่งเป็นที่ดินที่อำเภอแก่งคอยจำนวน 20 ไร่ และที่จังหวัดลำปาง จำนวน 30 ไร่ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปีนี้ และบริษัทจะบันทึกกำไรพิเศษจากการขายที่ดินเข้ามาทันที โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทได้ขายที่ดินจังหวัดชลบุรี และได้บันทึกเป็นกำไรพิเศษจำนวน 46.31 ล้านบาท