นายบุญชัย ปัณฑุรอัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ซาบีน่า (SABINA) ผู้ผลิตและจำหน่ายชุดชั้นในแบรนด์ "ซาบีน่า" เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา ถือว่าดีเกินกว่าที่บริษัทฯ คาดไว้ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่ากำลังซื้อได้รับผลกระทบจากปัจจัยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง อย่างไรก็ตาม ซาบีน่าได้รับปัจจัยสนับสนุนซึ่งมาจากการวางกลยุทธ์การตลาด ที่เน้นการขายผ่านช่องทางออนไลน์หรือ Non Store Retailing (NSR) ทำให้ในปี 2562 ยอดขายในช่องทางนี้เติบโตขึ้น 32.3% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
"ช่วงปลายปีที่แล้ว มีการจัดอันดับสินค้าขายดีในโลกออนไลน์จากไพร์ซซ่า ซึ่งปรากฏว่า สินค้าขายดีอันดับหนึ่งเป็นสินค้ากลุ่มแฟชั่น และในสินค้ากลุ่มดังกล่าว พบว่าชุดชั้นในเป็นสินค้าที่ขายดีที่สุด โดยชุดชั้นในแบรนด์ "ซาบีน่า" เป็นแบรนด์ที่มียอดขายสูงสุดในแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยเฉพาะในช่วงที่มีบิ๊กแคมเปญกระตุ้นกำลังซื้อ ทั้ง 11.11 และ 12.12 สะท้อนว่ากลยุทธ์การทำตลาดผ่านช่องทางขายของซาบีน่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก หรือในส่วนของช่องทางรีเทล (Retail) ซึ่งในปีที่ผ่านมามีการเติบโต 3.7% นั้น ซาบีน่าใช้วิธีโฟกัสจุดขายที่ชัดเจน ทำให้เราตัดสินใจเปิดช็อปเพิ่ม 2 แห่ง ที่เซ็นทรัล วิลเลจ และสามย่าน มิตรทาวน์ ซึ่งปรากฏว่า ทั้งสองแห่งเป็นจุดขายที่มีกำลังซื้อชัดเจน ทำให้ยอดขายของทั้งสองสาขาน่าพอใจเป็นอย่างมาก" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SABINA กล่าว
เช่นเดียวกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งปีที่แล้วบริษัทฯ ได้ออกคอลเลคชั่น "บอดี้ บรา" ซึ่งเป็นบราเกาะอก โดยดึง "ใบเฟิร์น-พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์" มาเป็นพรีเซนเตอร์ ทำให้สินค้าดังกล่าวกลายเป็นสินค้าไฮไลท์ของปีที่ไม่ได้สร้างยอดเฉพาะในประเทศไทย แต่ยังสามารถทำยอดขายในช่องการส่งออก (Export) ในกลุ่มประเทศ CLMV โดยเฉพาะประเทศเวียดนามให้เติบโตได้ 25.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนอีกช่องทางขายผ่านการรับผลิต (OEM) ให้กับลูกค้าในยุโรปนั้น ยังคงอยู่ในทิศทางทรงตัวโดยมีการเติบโต 0.1%
นายบุญชัย กล่าวด้วยว่า การเติบโตในช่องทางออนไลน์ ทำให้บริษัทฯ สามารถควบคุมต้นทุนขาย รวมถึงการบริหารจัดการสินค้าในสต็อกได้มีประสิทธิภาพขึ้น ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังควบคุมต้นทุนด้านการผลิต โดยยังคงจ้างผลิตสินค้าจากโรงงานในประเทศจีนในสัดส่วน 37% และผลิตเองในสัดส่วน 63% ซึ่งนอกจากต้นทุนการผลิตลดลงแล้ว บริษัทฯ ยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าขึ้น ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นมาอยู่ที่ 54.4%
สำหรับกรณีการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (ไวรัสโควิด-19) ในประเทศจีนนั้น ยังไม่มีผลกระทบกับการผลิตแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ซาบีน่าได้เริ่มจ้างผลิตจากโรงงานในประเทศเวียดนาม เป็นการกระจายความเสี่ยงและเพื่อเป็นฐานในการเพิ่มยอดขายในเวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตสูงอีกด้วย