นายพงศ์ธร ธาราไชย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส (PPS) เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริหาร PPS ได้ข้อสรุปจากการพิจารณาโครงการ รวมถึงความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานแล้ว จึงมีมติอนุมัติให้บริษัท โปรเจคท์ วัน พร็อพเพอตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (P1) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย PPS ลงทุนในโครงการแหลมยามู จ.ภูเก็ต โดยถือหุ้นในสัดส่วน 53%
ทั้งนี้ บริษัท โปรเจคท์ วัน พร็อพเพอตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (P1) ร่วมกับนาย Peter Hamilton พันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แถบจ.ภูเก็ต จัดตั้งบริษัท โปรเจคท์ ทู พร็อพเพอตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (P2) เพื่อใช้ในการซื้อที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการแหลมยามู จังหวัดภูเก็ต
สำหรับการเข้าลงทุนในเฟสแรกเป็นโครงการที่พักอาศัยจำนวน 8 ยูนิต คาดว่าจะทยอยลงทุนระยะเวลา 3-4 ปี โดยบริษัทเข้าไปดำเนินงานด้านการออกแบบและคุมงาน ซึ่งบริษัทในเครือ PPS ทั้งหมดสามารถต่อยอดโอกาสนี้ในการทำหน้าที่เป็น Project support หรือ Technical service ได้ หากบริษัทสามารถก่อสร้างโครงการและขายได้ตามแผน คาดว่าจะมีรายได้เฉลี่ยปีละ 100-200 ล้านบาท
ทั้งนี้ เงินลงทุนโครงการจะมาจากออกและเสนอขายหุ้นกู้มูลค่า 200 ล้านบาท ผ่าน บล. เคทีบี (ประเทศไทย) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ซึ่งมีกระแสตอบรับดีมาก สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อปัจจัยพื้นฐานธุรกิจและโครงสร้างของหุ้นกู้ของบริษัทได้เป็นอย่างดี
"บริษัทเล็งเห็นศักยภาพการเติบโตทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในพื้นที่จ.ภูเก็ต ว่ายังมีกลุ่มที่ลงทุนรูปแบบวิลล่าและมีผลตอบรับในทิศทางที่ดี ซึ่งจากการนำเสนอขายโครงการแก่ผู้สนใจในกลุ่มจำกัด ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เริ่มมีนักลงทุนสนใจพอสมควร ประกอบกับบริษัทมีจุดแข็งด้านการควบคุมต้นทุนก่อสร้าง รวมถึงระยะเวลาการก่อสร้างให้เป็นไปตามแผนงาน ควบคู่กับการส่งมอบคุณภาพชิ้นงานถึงมือลูกค้า จึงทำให้มุมมองเชิงกลยุทธ์การตลาดมีความได้เปรียบคู่แข่งในพื้นที่เดียวกัน ทำให้บริษัทมั่นใจว่าหากโครงการนี้ประสบความสำเร็จ คาดว่าจะทำให้รายได้ของบริษัทเติบโตได้ต่อเนื่อง กำหนดเป้าหมายรายได้ได้ดีขึ้นจากการที่ไม่พึงพาโครงการของคนอื่นทั้งหมด ซึ่งจะเข้ามาช่วยสนับสนุนการเติบโตของผลประกอบการให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น"นายพงศ์ธร กล่าว
อนึ่ง โครงการแหลมยามู ตำบลป่าคลอก จังหวัดภูเก็ต เป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่และแหล่งอำนวยความสะดวกต่างๆ โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักคือลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัวในการพักผ่อน รวมถึงความปลอดภัยของครอบครัวในการใช้ชีวิต ซึ่งลูกค้าในกลุ่มนี้มีกำลังในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์สูง รวมถึงนักลงทุนที่มีความสนใจการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ กำหนดราคาขายเริ่มต้น 240 ล้านบาท ต่อ ยูนิต