นายบุญยง ตันสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป (ZEN) กล่าวถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจปี 2563 ว่า บริษัทฯ วางลงทุนรวมทั้งสิ้นประมาณ 200 ล้านบาท เทียบกับปีที่ผ่านมาใช้งบลงทุนประมาณ 300 ล้านบาท เนื่องจากในปีนี้วางแผนขยายร้านอาหารตามสั่งแบรนด์ ‘เขียง’ โดยเน้นโมเดลแฟรนไชส์ผ่านการจับมือกับพาร์ทเนอร์ในภูมิภาค (Regional Partner) มากกว่าการลงทุนขยายสาขาเอง โดยคาดว่าจะเปิดร้านอาหารภายใต้โมเดลแฟรนไชส์รวม 100-150 สาขา ส่งผลให้บริษัทฯ ใช้งบลงทุนเพื่อการขยายสาขาลดลงจากปีก่อน นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนปรับปรุงร้านสาขาเดิม พัฒนาระบบไอที และเพิ่มศักยภาพในการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่ดียิ่งขึ้น
"จากแนวโน้มเศรษฐกิจและกำลังซื้อโดยรวมที่ชะลอตัว ปีนี้เราจึงมุ่งพัฒนาความสามารถในการทำกำไรของสาขาที่บริษัทฯ มีอยู่แล้ว 345 สาขา ควบคู่กับการเน้นขยายสาขาด้วยโมเดลแฟรนไชส์ และบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งคาดว่าจากกลยุทธ์ดังกล่าวจะช่วยผลักดันรายได้และอัตราการทำกำไรที่ดีขึ้น" นายบุญยง กล่าว
สำหรัพรวมผลการดำเนินงานปี 2562 แม้ว่าประสบภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่บริษัทฯ ยังสามารถทำรายได้รวม 3,144.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,964.7 ล้านบาท เนื่องจากมีการขยายสาขาใหม่ในปีที่ผ่านมาถึง 100 สาขา ซึ่งมากที่สุดนับตั้งแต่เปิดดำเนินธุรกิจ ประกอบกับได้รับผลดีจากยอดขายเดลิเวอรี่ที่เติบโตแบบก้าวกระโดดกว่า 8 เท่า สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ที่เน้นความสะดวกมากขึ้น โดยมียอดขายเดลิเวอรี่รวมในปีที่ผ่านมา 102 ล้านบาท เทียบกับปี 2561 ที่มีรายได้เดลิเวอรี่ 13 ล้านบาท นอกจากนี้กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารค้าปลีก เช่น น้ำปลาร้าปรุงรส, แจ่วบอง (น้ำพริกปลาร้า) ก็มียอดขายเติบโตโดดเด่น
ส่วนกำไรสุทธิปี 2562 อยู่ที่ 106.2 ล้านบาท ลดลง 24% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 140.2 ล้านบาท แต่หากไม่รวมรายการพิเศษที่เกิดขึ้น 2 รายการ คือ การกลับรายการประมาณการหนี้สินจากการรื้อถอนในปี 2561 และการตั้งสำรองผลขาดทุนจากการปิด 2 สาขาในปี 2562 จะทำให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิลดลง 7% ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากรายได้ของสาขาเดิม (SSSG) ติดลบจากสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 4/62 มีรายได้รวม 855.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 738.4 ล้านบาท เนื่องจากมีการเปิดสาขาใหม่ถึง 37 สาขาและยอดขายจากบริการเดลิเวอรี่ผ่านช่องทางคอลเซ็นเตอร์ (หมายเลข 1376) รวมถึงแอพพลิเคชั่นสั่งอาหารเติบโตอย่างมากในช่วงไตรมาสสุดท้าย ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 18.8 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรายได้จากธุรกิจร้านอาหารของสาขาเดิม (SSSG) ติดลบ และมีการตั้งสำรองผลขาดทุนจากการปิดสาขา