นายเพชร ไกรนุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW) กล่าวว่า บริษัทยอมรับว่ารายได้รวมปีนี้จะทำได้ต่ำสุดในรอบ 6 ปี จากผลกระทบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง ซึ่งเริ่มเห็นภาพชัดเจนตั้งแต่ต้นเดือนก.พ.63 เป็นต้นมา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ปรับลดประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปีลง 9.5%
ขณะเดียวกัน บริษัทยังคาดว่าราคาห้องพักเฉลี่ยต่อคืน (RevPAR) ปีนี้ก็น่าจะปรับตัวลดลงด้วย เนื่องจากการแข่งขันด้านราคาสูงขึ้น ทำให้บริษัทต้องทำโปรโมชั่น โดยเฉพาะการลดราคาค่าห้องพักเพื่อดึงนักท่องเที่ยวคนไทยให้หันมาท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น ทดแทนการหายไปของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
ปัจจุบัน สัดส่วนรายได้ห้องพักที่มาจากนักท่องเที่ยวชาวไทย คิดเป็น 20% ยังคงเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมา คือ นักท่องเที่ยวจีน คิดเป็น 12%, สหรัฐฯ 9% ส่วนอีก 5-6% มาจากฮ่องกง สิงคโปร์ และรัสเซีย
นายเพชร กล่าวว่า สถานการณ์ในช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค.63 มียอดขอยกเลิกการสำรองห้องพักแล้ว 50-60% จึงมองว่าอาจกระทบกับผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/63 ที่คงจะต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยหลักคือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคาดการณ์อัตราการเข้าพัก (OCC) ของโรงแรมในประเทศไทยเฉลี่ยปีนี้จะอยู่ที่ 78% และในฟิลิปปินส์อยู่ที่ 80% ซึ่งไม่นับรวมกลุ่มโรงแรม HOP INN ซึ่งเป็นโรงแรมราคาประหยัด
แม้ว่าผลการดำเนินงานในภาพรวมปีนี้จะไม่ค่อยสดใสมากนัก แต่บริษัทยังมีโรงแรมที่สามารถสร้างการเติบโตและช่วยพยุงรายได้ในปีนี้ไม่ให้ปรับลดลงไปมากนัก ได้แก่ โรงแรม Mercure Bangkok Sukhumvit 24, JW Marriott Hotel Bangkok ที่อยู่ระหว่างปิดปรับปรุง และคาดจะกลับมาเปิดให้บริการได้ในไตรมาส 2/63 เป็นต้นไป และการเปิดให้บริการของโรงแรม HOP INN ในปีนี้อีก 7 แห่ง ซึ่งจะส่งผลทำให้สิ้นปีนี้บริษัทจะมีโรงแรมในไทยรวมเป็น 72 แห่ง และในฟิลิปปินส์รวม 5 แห่ง
นอกจากนี้ บริษัทยังวางงบลงทุนปีนี้ไว้ที่ 1,400 ล้านบาท เพื่อเดินหน้าก่อสร้างโรงแรมใหม่ และปรับปรุงโรงแรมเดิม รวม 17 แห่ง ทั้งในไทยและฟิลิปปินส์ ประกอบด้วย โรงแรม HOP INN ในไทย 11 แห่ง และโรงแรมในฟิลิปปินส์ 6 แห่ง แบ่งเป็น โรงแรม ฮอลิเดย์ อินน์ และอ็อป อินน์ เซบู ชิตี้ (Holday Inn & HOP INN Cebu Ciy) ซึ่งจะเป็นโรงแรมภายใต้คอนเซป "คอมโบโฮเทล" แห่งแรกของบริษัทในฟิลิปปินส์ และโรงแรม HOP INN อีก 4 แห่ง ในเมืองมะนิลา ดาเวา และอิโลอิโล่
"เชื่อว่าผลกระทบจากโควิด-19 จะเป็นผลกระทบระยะสั้น และภาพของการท่องเที่ยวจะยังดีอยู่ในระยะยาว โดยเราจะพัฒนา product ให้มีความสามารถแข่งขันได้ และพัฒนาโรงแรม HOP INN อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เห็นได้จากในปีที่ผ่านมาแม้ว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะมีอัตราการเติบโตในระดับต่ำ แต่ผลการดำเนินงานของโรงแรมภายใต้แบรนด์ HOP INN ที่เน้นกลุ่มลูกค้าในประเทศยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งในประเทศไทยและฟิลิปปินส์ รวมถึงการลดต้นทุนในทุกๆ ด้าน"นายเพชร กล่าว