นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงการปรับตัวลงของตลาดหุ้นไทยช่วงเช้าที่ผ่านมาว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ได้ปรับตัวลดลงหลุด 1,400 จุด ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี นับตั้งแต่ปี 59 ซึ่งดัชนีต่ำสุดของปีอยู่ที่ 1,261 จุด จากความกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) เป็นหลัก
ปัจจัยดังกล่าวได้ส่งผลกระทบในบาง Sector เท่านั้น เห็นได้จากตั้งแต่ต้นปี 63 SET INDEX ปรับตัวลง -8.91% แต่มีบางหมวดธุรกิจ เช่น หมวดของใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน (Home & Office Products) +2.35%, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Components) +0.54%, กระดาษและวัสดุการพิมพ์ (Paper & Printing Materials) +1.05%, เงินทุนและหลักทรัพย์ (Finance & Securities) +5.66% ส่วนกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร (Agro & Food Industry) -3.23%
ทั้งนี้ยังเชื่อว่าเมื่อไหร่ก็ตามหากเหตุการณ์ดังกล่าวดีขึ้น ตลาดหุ้นไทยจะกลับมารีบาวด์ได้ เห็นได้จากในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยมีความแข็งแกร่ง สามารถฟื้นตัวจากเหตุการณ์ต่างๆ ได้ภายในเวลาอันสั้น ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์น้ำท่วม, โรคซาร์ส ที่สามารถฟื้นตัวได้ภายในเวลา 1.5 เดือน, เหตุการณ์ระเบิดราชประสงค์สามารถฟื้นตัวได้ 2 เดือน และเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองก็สามารถฟื้นตัวได้ในระยะเวลา 3 เดือน เป็นต้น
นอกจากนี้ยังเชื่อว่าหาก Sentiment ชัดเจนขึ้น นักลงทุนต่างชาติจะยังกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยตามเดิม เนื่องจากหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจ และถูกคำนวณอยู่ในดัชนี MSCI มากถึง 40 ตัว ประกอบกับยังมีอีกหลาย Sector ที่สามารถทดต่อสภาวะแวดล้อมได้ดี
"ขอฝากถึงนักลงทุนว่าตลาดหุ้นไทยยังมี Sector ที่ลง และขึ้น แสดงให้เห็นว่าเรายังมีบริษัทจดทะเบียนที่น่าลงทุน ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่ Sentiment ชัดเจนขึ้น นักลงทุนต่างชาติจะต้องกลับมาลงทุนในหุ้นไทยอย่างแน่นอน โดยแนะให้หลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ไปก่อน"
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องจับตาดูต่อ คือเรื่องของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในไตรมาส 1/63 ที่จะออกมาเร็วๆ นี้ ว่าจะสามารถส่งงบได้ทันตามกำหนดหรือไม่ เนื่องจากเหตุโควิด-19 ซึ่งทางตลาดหลักทรัพย์ฯ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ก็ได้ร่วมมือกันเพื่อหามาตรการช่วยให้ปิดงบให้ทันต่อเวลา และน่าจะนำส่งได้ทันก่อนช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ ขณะปัจจุบันมีบจ.ส่งงบมาแล้ว 40% หรือคิดเป็นประมาณ 330 หลักทรัพย์ จากทั้งหมด 700 กว่าหลักทรัพย์ เบื้องต้นผลประกอบการที่ออกมาคล้ายกลับ 3 ไตรมาสก่อนหน้าที่ปรับตัวลดลง