นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดไปในหลายประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอิตาลี แม้จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ในจีนเริ่มลดลง รวมถึงในหลายประเทศเริ่มมีการยกระดับมาตรการป้องกัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจในระยะสั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการท่องเที่ยวของไทยซึ่งมีมูลค่าคิดเป็นประมาณ 13% ของ GDP จึงส่งผลให้ GDP ของไทยมีความเสี่ยงที่จะถูกปรับลงมากกว่าที่ตลาดคาด
บลจ.กสิกรไทย ประเมินว่าหากสถานการณ์ดังกล่าวสามารถควบคุมได้ภายใน 2-3 เดือนข้างหน้า คาดว่าเศรษฐกิจไทยมีโอกาสฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 63 จากมาตรการกระตุ้นการบริโภค และการท่องเที่ยวของภาครัฐที่จะทยอยประกาศออกมา รวมทั้งเม็ดเงินลงทุนและการเบิกจ่ายงบประมาณจากภาครัฐ ประกอบกับ สภาพคล่องที่มีอยู่ในระดับสูงจากการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของธนาคารกลางทั่วโลก ทำให้คาดว่าดัชนีหุ้นไทยจะสามารถปรับตัวขึ้นไปสูงกว่าระดับปัจุบันได้
โดยระดับดัชนีปัจจุบันสะท้อน Forward PE ที่ 15 เท่า และ Dividend Yield ที่ประมาณ 3.7% อย่างไรก็ตาม บลจ.กสิกรไทย มีการปรับคาดการณ์การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในปี 563 ลงเหลือ 4-6% เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้เป้าหมายดัชนีปลายปีมีการปรับประมาณการลดลงมาอยู่ในช่วง 1,550-1,600 จุด
สำหรับผู้ลงทุนที่รับความผันผวนได้และสามารถลงทุนได้ในระยะยาว จังหวะนี้ถือเป็นโอกาสทยอยเข้าลงทุนในกองทุนหุ้นไทย เนื่องจาก บลจ.กสิกรไทย ยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทยในระยะยาว โดยแนะนำกองทุนเปิดเค หุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (KEQRMF) ที่เน้นลงทุนในหุ้นบริษัทใหญ่ชั้นนำที่มีปัจจัยพื้นฐานดีในกลุ่มอุตสาหกรรมที่หลากหลายเพื่อกระจายความเสี่ยงจากความผันผวนของธุรกิจ และมีกลยุทธ์แบบ Active ที่มุ่งสร้างผลตอบแทนให้สูงกว่าดัชนีชี้วัด อีกทั้งยังได้รับการจัดอันดับ 4 ดาวจาก Morningstar (Overall rating ณ วันที่ 31 ม.ค.63)
ทั้งนี้ กองทุน KEQRMF ไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล และเน้นไปที่การเติบโตของเงินลงทุนในระยะยาว การถือหุ้นใหญ่พื้นฐานดีจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตลงทุนในระยะยาวได้ในทุกสภาวะตลาด อย่างไรก็ตาม หากผู้ลงทุนยังต้องการลงทุนเพิ่มเติมแต่รับความเสี่ยงได้น้อย แนะนำให้ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาวอย่างกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ พลัส (K-FIXEDPLUS