(เพิ่มเติม) AWC วางงบลงทุนปีนี้กว่า 3 หมื่นลบ. พัฒนากว่า 12 โครงการ ,ตั้งเป้า EBITDA โตเฉลี่ย 15% ช่วง 5 ปีนี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday February 28, 2020 15:05 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ,ภาษี,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี ภายใน 5 ปีนี้ (ปี 63-67) จากปีก่อนอยู่ที่ 6,000 ล้านบาท ตามการทยอยรับรู้มูลค่าทรัพย์สิน จากการเข้าซื้อกิจการใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันบริษัทก็อยู่ระหว่างมองหาโอกาสเพื่อเข้าลงทุนในโครงการที่มีศักยภาพการเติบโตที่ดี

ทั้งนี้ บริษัทได้ตั้งงบลงทุนปี 63 ไว้มากกว่า 3 หมื่นล้านบาท เพื่อรองรับกับการลงทุนภายใน 5 ปี โดยจะพัฒนาทั้งโครงการโรงแรม และสถานที่ท่องเที่ยวแนวไลฟ์สไตล์มากกว่า 12 โครงการ ซึ่งจะเพิ่มจำนวนห้องพักในโรงแรมเป็น 8,506 ห้อง และเพิ่มพื้นที่เช่าของอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้าเป็น 415,481 ตารางเมตร (ตร.ม.) ภายในปี 67

แหล่งเงินลงทุนดังกล่าวจะมาจากการสนับสนุนสินเชื่อสีเขียวจากบรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (IFC) ของกลุ่มธนาคารโลก ซึ่ง AWC และ IFC อยู่ในระหว่างการหารือเพื่อการจัดหาเงินทุนสีเขียว (Green Financing) สำหรับโครงการต่าง ๆ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ขณะที่ยังมีกระแสเงินสดที่เข้ามาปีละ 6,000 ล้านบาท และยังมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 0.4 เท่า อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ยังมีแผนออกหุ้นกู้ ในวงเงินในเกิน 50,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการทำอันดับเครดิตเรทติ้ง และศึกษาอยู่ว่าจะออกเป็น Green Bond หรือไม่

ปัจจุบัน บริษัทมีโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้วรวม 16 แห่ง คิดเป็นจำนวนห้องพักรวม 4,869 ห้อง และอยู่ระหว่างการพัฒนาและปรับปรุงอีก 11 แห่ง คิดเป็นจำนวนห้องพักรวม 3,637 ห้อง โดยจะรวมเป็นทั้งสิ้น 27 แห่ง ซึ่งจะส่งผลทำให้บริษัทฯ มีจำนวนห้องพักรวมมากถึง 8,506 ห้อง ภายในสิ้นปี 68

ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังมีการเปิดดำเนินการอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้าไปแล้ว 9 โครงการ คิดเป็นพื้นที่เช่า 198,781 ตารางเมตร และอีก 2 โครงการ อยู่ระหว่างการพัฒนาและปรับปรุง และอยู่ระหว่างการพัฒนาและทดสอบความพร้อมต่างๆ อีกทั้งยังมีอาคารสำนักงาน จำนวน 4 แห่ง คิดเป็นพื้นที่เช่า 270,594 ตารางเมตร โดยโครงการส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในย่านใจกลางธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ

สำหรับกลยุทธ์การดำเนินงานในปีนี้ บริษัทได้วางกลยุทธ์หลักไว้ 5 ข้อ ได้แก่ เติบโตก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง (Growth-Led Strategy) จากปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการที่ดำเนินการอยู่ คิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินรวมมากกว่า 96,000 บ้านบาท และอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ มีโครงการที่จะสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดมากกว่า 125,000 ล้านบาท, มุ่งเน้นลูกค้ากลุ่มรายได้ระดับกลางถึงสูง (Middle to High Income Customer Segment)

สร้างความแข็งแกร่งร่วมกับพันธมิตรระดับโลก (Global and Unique Partners) เพื่อสร้างและขยายเครือข่ายพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญในสายงานต่างๆ ในการแบ่งปันความชำนาญ และมาตรฐานการดำเนินงานให้อยู่ในระดับสากล อีกทั้งยังสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ จากระบบจัดจำหน่ายทั่วโลก, เป็นผู้นำตลาด สร้างประสบการณ์ใหม่ให้วงการ (New Benchmark) ด้วยการสร้างสรรค์โครงการขนาดใหญ่และมีจุดดึงดูดเพื่อสร้างขีดการแข่งขันและเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้กับประเทศ และพัฒนาและดำเนินธุรกิจเพื่อเติบโตอย่างยั่งยืนโดยคำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อม และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อคุณค่าองค์รวม (Synergy & Sustainability)

ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย บริษัทฯ ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และได้ออกมาตรการอย่างต่อเนื่อง เพื่อดูแลความปลอดภัยเรื่องสุขอนามัยภายในโครงการ โดยได้ร่วมมือกับพันธมิตรโรงแรมชั้นนำต่าง ๆ ในการออกนโยบายยกเว้นค่าธรรมเนียมในการยกเลิกเข้าพักในโรงแรม และการยกเลิกหรือเลื่อนการจัดประชุม โดยพิจารณาความเหมาะสมในช่วงเวลาที่เดินทางและประเทศต้นทาง

ส่วนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้า บริษัทฯ จะมอบส่วนลดค่าเช่าตามสถานการณ์ผลกระทบด้านจำนวนลูกค้าและเศรษฐกิจของแต่ละโครงการเดือนต่อเดือน โดยเฉพาะเอเชียทีค นักท่องเที่ยวลดเหลือ 15,000-18,000 คนต่อวัน จากเดิมเฉลี่ย 50,000 คนต่อวัน และจะพิจารณามอบความช่วยเหลือเพิ่มตามความเหมาะสมของสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงจะร่วมยืนหยัดรับมือทุกปัญหาเพื่อให้ผ่านพ้นสถานการณ์ยากลำบากนี้ไปด้วยกันอย่างดีที่สุด

อย่างไรก็ตามสำหรับผลกระทบที่เกิดขึ้นยอมรับว่าส่งผลทำให้สัดส่วนรายได้จากธุรกิจโรงแรมปีนี้จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 40% จากเดิมอยู่ที่ 60% ของรายได้รวม โดยจะเห็นได้จากในเดือนก.พ.นี้ มีการเลื่อนการจองห้องพักออกไป ส่งผลต่อรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPar) หายไปราว 30% และคาดว่าในเดือนมี.ค.63 จะยังโดนกระทบด้วยเช่นกัน ซึ่งบริษัทฯ เชื่อว่าจะปรับตัวดีขึ้นได้ในครึ่งปีหลังนี้ หลังสถานการณ์คลี่คลายลง และทำให้ AWC เร่งเครื่องการเติบโตได้อย่างแน่นอน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ