นายสมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ (STI) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 63 เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากงานในมือที่รอรับรู้เป็นรายได้ (Backlog) กว่า 2,000 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ราว 35-40% แบ่งเป็น สัดส่วนงานในมือจากภาคเอกชน 76% และงานภาครัฐ 24%
ล่าสุด บริษัทได้รับความไว้วางใจให้ควบคุมการก่อสร้างโครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยาย ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 โซน C จำนวน 1 โครงการ โดยเซ็นสัญญาไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ประกอบกับ การบริหารโครงการในมือที่หลากหลาย และยังคงเดินหน้าตามแผน อาทิ โครงการ One Bangkok โครงการ The PARQ โครงการปรับปรุงศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โครงการพัฒนาพื้นที่หมอน 33 หรือบล็อก 33 และงานโครงการประเภทโรงงานและคลังสินค้าหลายแห่ง เป็นต้น
นอกจากนี้การที่ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท มีผลบังคับใช้แล้วนั้น เชื่อว่าจะกระตุ้นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ กระตุ้นเศรษฐกิจ และงานภาคเอกชนที่จะขยายตัว ส่งผลให้ภาพรวมอุตสาหกรรมคึกคัก เพิ่มโอกาสในการรับงานมากขึ้น
นายสมเกียรติ กล่าวว่า บริษัทยังมีแผนจัดตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่ ภายใต้ชื่อ บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ เวนเจอร์ จำกัด มีทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท เพื่อขยายโอกาสในการเติบโต การลงทุนในกิจการอื่น รวมถึงโอกาสในการประกอบธุรกิจที่ปรึกษา หรือธุรกิจอื่น นับเป็นการต่อยอดจากธุรกิจหลักที่มีความแข็งแกร่ง สร้างฐานการเติบโตในระยะยาว
สำหรับผลการดำเนินงานปี 62 บริษัทมีรายได้จากการให้บริการ 712.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.8% จากปีก่อน ขณะที่มีกำไรขั้นต้น 240.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.2% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 85.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งเป็นไปตามการเพิ่มขึ้นของปริมาณงาน โดยเฉพาะงานที่มีกำไรขั้นต้นสูงขึ้น และจากการบริหารจัดการต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับพนักงานที่ดีขึ้น
จากความสำเร็จในการบริหารงาน ส่งผลให้ STI มีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 33.7% อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 11.8% ซึ่งสูงกว่าอัตรากำไรในปี 61 แม้จะมีการบันทึกสำรองผลประโยชน์ระยะยาวของพนักงานเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 ทำให้กลุ่มบริษัทมีหนี้สินสำรองผลประโยชน์ระยะยาวของพนักงานเพิ่มขึ้นจำนวน 10 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นรายจ่ายครั้งเดียวและไม่ใช่รายการเงินสด ซึ่งหากไม่รวมต้นทุนการให้บริการในส่วนนี้ กลุ่มบริษัทจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 93.5 ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 34.8%
ทั้งนี้ รายได้จากการให้บริการปี 62 นับเติบโตตามเป้าหมาย จากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากธุรกิจบริหารและควบคุมงานก่อสร้างจำนวน 52.4 ล้านบาท เป็นการเพิ่มขึ้นของปริมาณงานที่ให้บริการ เช่น โครงการ One Bangkok โครงการปรับปรุงศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โครงการอาคารชุดพักอาศัยหลายโครงการ โครงการอาคารสำนักงาน และโครงการประเภทอาคารอเนกประสงค์ เป็นต้น
ขณะเดียวกัน รายได้จากธุรกิจออกแบบสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมมีจำนวนเพิ่มขึ้น 28.5 ล้านบาท เนื่องจากปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นในปี 2562 เช่น งานโครงการพัฒนาพื้นที่ชุมชนตามการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก งานโครงการประเภทโรงงานและคลังสินค้าหลายแห่ง และโครงการประเภทอาคารอเนกประสงค์ เป็นต้น
"ภาพรวมปี 62 เติบโตขึ้นตามเป้าหมาย จากงานในมือที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ความสามารถในการบริหารงาน การควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ และฐานะทางการเงินที่แข็งแรง โดยบริษัทมีค่าใช้จ่ายทางการเงินลดลงอย่างมาก จากการจ่ายชำระเงินกู้ระยะยาวทั้งหมดไปในปีก่อนหน้าและได้ชำระหนี้สินตามสัญญาเช่าทางการเงินเกือบทั้งหมดในปี 62 เป็นผลให้กลุ่ม STI ไม่มีเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงิน และมีกำไรสุทธิเติบโตอย่างน่าประทับใจ"นายสมเกียรติ กล่าว
นายสมกียรติ กล่าวว่า ส่วนรายได้ของกลุ่มบริษัทมาจากธุรกิจบริหารและควบคุมงานก่อสร้างสัดส่วน 84.7% ของรายได้จากการให้บริการรวม และรายได้จากธุรกิจออกแบบสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม มีสัดส่วนรายได้ 15.3% จากความสำเร็จในการขยายงานโครงการได้มากขึ้น โดยเฉพาะงานโครงการขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียง รวมไปถึงการเข้าสู่งานภาครัฐรับบิ๊กโปรเจ็คต์ที่ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง