นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นช่วงเดือนมี.ค.63 นับเป็นโอกาสที่น่าสนใจของนักลงทุนที่จะเข้ามาสะสมหุ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนระยะยาว เนื่องจากปัจจุบันหุ้นไทยปรับลดลงมาซื้อขายที่ระดับอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ปีนี้ที่ 14.0 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยตั้งแต่ปี 49 ที่ 13.8 เท่าแล้ว ทั้งนี้ หากใช้ P/Eที่ 13.8 เท่านี้ในการคำนวณระดับดัชนีที่เหมาะสมจะได้ว่าดัชนีที่เป็นโอกาสเข้าสะสมหุ้นที่สำคัญจะตรงกับระดับ 1,310 จุด
สำหรับธีมการลงทุนแนะนำในช่วงเดือนนี้ ได้แก่ 1. ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (IFF) เนื่องจากมีระดับอัตราเงินปันผลเทียบกับผลตอบแทนพันธบัตรอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ดีการลงทุนในตราสารประเภทนี้ แนะนำให้กระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศด้วย เพื่อป้องกันความเสี่ยงทางด้านสภาพคล่องภายในประเทศ
2. กลุ่มบริหารสินทรัพย์ (AMC) ที่มีโอกาสเข้าซื้อสินทรัพย์ราคาถูกช่วงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แถมได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยขาลง ซึ่งหุ้นที่แนะนำคือ บมจ.บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ (BAM) , บมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) และ บมจ.ชโย กรุ๊ป (CHAYO ) 3. กลุ่มอาหารซึ่งจะได้ประโยชน์จากราคาสัตว์บกที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงค่าเงินบาทที่อ่อนค่า หุ้นแนะนำคือ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) และ 4. กลุ่มที่อิงการลงทุนภาครัฐ เพราะรัฐบาลน่าจะมีการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณอย่างเร่งด่วนในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณนี้ จึงแนะนำหุ้น บมจ.ช.การช่าง (CK)
นอกจากนี้ แนะนำ "เก็งกำไร" หุ้น บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) คาดหวังได้รับอานิสงส์จากการปรับลดกำลังการผลิตเพิ่มเติมจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ในการประชุมวันที่ 5-6 มี.ค.นี้ หากเกิดขึ้นจริงจะทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงสั้นได้ ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มโอเปกลดกำลังการผลิตได้มากกว่าที่ตกลงกันไว้ โดยทำได้ถึง 2 ล้านบาร์เรล/วัน จากแผนที่ 1.7 ล้านบาร์เรล/วัน
นายณัฐชาต กล่าวว่า ยังต้องติดตามการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในช่วงวันที่ 17-18 มี.ค.นี้ ซึ่งล่าสุดนักลงทุนในตลาดพันธบัตรให้น้ำหนักเกิน 100% แล้วว่าจะมีมติลดดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุมดังกล่าวและการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 25 มี.ค.นี้ ซึ่งนักลงทุนในตลาดก็ให้น้ำหนัก 100% เช่นกันว่าจะมีมติปรับลดดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน
"เป็นที่น่าสนใจว่าหาก กนง.ลดดอกเบี้ยลงครั้งนี้อีกจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายแท้จริงของไทยก้าวเข้าสู่ระดับติดลบมากขึ้น ซึ่งจากสถิติในอดีต อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ติดลบนี้มักส่งผลให้หุ้นยังคงเป็นตราสารที่ตอบโจทย์การลงทุนได้ สะท้อนจากการให้อัตราผลตอบแทนเป็นบวกโดยตลอด ในช่วงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ 3 รอบตั้งแต่ปี 52 เป็นต้นมา เพียงแต่ว่าในระยะสั้น ตลาดหุ้นอาจจะยังคงมีความผันผวนจากปัจจัยแวดล้อมที่ยังคงมีความไม่แน่นอนในระดับสูง"นายณัฐชาต กล่าว