นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร กรรมการผู้จัดการ บมจ.บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส (BGC) เปิดเผยว่า บริษัทปรับลดเป้าหมายรายได้ปีนี้ลงเหลือเติบโต 5-6% จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโต 8-9% เนื่องจากบริษัทจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส โคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2/63 เป็นต้นไปจนกว่าสถานการณ์จะสามารถควบคุมได้
แต่อย่างไรก็ตามในช่วงไตรมาส 1/63 คำสั่งซื้อยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง และยังไม่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 โดยบริษัทได้เน้นการผลิตสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูงมากขึ้นด้วย
"เบื้องต้นเราได้ปรับเป้าหมายการเติบโตลงมาเหลือ 5-6% เพื่อตอบรับกับสถานการณ์ต่างๆที่เข้ามา ไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก และผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 พร้อมกันนี้เราอยู่ระหว่างการทำแผนและศึกษาผลกระทบระยะกลาง ระยะสั้น และระยะยาวที่จะเกิดขึ้นว่าจะมีผลกระทบมากน้อยเพียงได
แต่อย่างไรก็ตามบริษัทคาดว่าภาพรวมกำไรจะดีกว่าปีก่อน เพราะเราจะรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าในประเทศเวียดนามกำลังการผลิต 100 เมกะวัตต์ เข้ามาเต็มปี จากปีก่อนเริ่มจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ช่วงเดือน ก.ค."นายศิลปรัตน์ กล่าว
สำหรับสัดส่วนรายได้ในปีนี้บริษัทคาดว่าจะมาจากในประเทศ 87% และจากต่างประเทศ 13% จากปี 62 ที่ผ่านมามีสัดส่วนรายได้จากในประเทศ 90% และต่างประเทศ 10% โดยบริษัทยังคงเป้าหมายการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเป็น 15% ภายในปี 65 ซึ่งจะเน้นการขยายตลาดไปยัง ประเทศสหรัฐฯ อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหภาพยุโรป และกลุ่มประเทศ CLMV
พร้อมกันนั้น บริษัทได้เตรียมงบลงทุนไว้ราว 2,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการเข้าซื้อกิจการอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างเจรจาการเข้าซื้อกิจการบรรจุภัณฑ์ 2 ดีล ซึ่งเป็นบรรจุภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับขวดแก้วที่เป็นผลิตภัณฑ์หลักของบริษัท คาดว่าได้ข้อสรุปภายในครึ่งปีหลัง 63 นี้
และยังอยู่ระหว่างเจรจาเข้าซื้อโครงการโรงไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นโรงไฟฟ้งพลังงานแสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าพลังงานลม โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ และโรงไฟฟ้าจากความร้อนใต้พิภพ ที่มีการเจรจา 2-3 ราย คาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้อย่างน้อย 2 ราย โดยบริษัทวางเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิตปีละ 60-100 เมกะวัตต์ และในระยะเวลา 5 ปี (63-67) จะมีกำลังการผลิตรวมเป็น 300-400 เมกะวัตต์
นายศิลปรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หากใช้เงินลงทุนทั้งหมดราว 2,000 ล้านบาทในปีนี้จะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 2.1 เท่า แต่อย่างไรก็ตามยังไม่เกินนโยบายของบริษัทมี่จะรักษาไว้ไม่เกิน 3 เท่า โดยบริษัทจะมองหาทั้งการกู้ยืมเงินจากสถาบันทางการเงิน การออกหุ้นกู้ และเครื่องมือทางการเงินที่มีความเหมาะสมที่จะมารองรับการลงทุนของบริษัท