(เพิ่มเติม) ORI ตั้งเป้าปี 63 ยอดขาย 2.15 หมื่นลบ.รายได้ 1.6 หมื่นลบ.เปิด 14 โครงการที่อยู่อาศัยมูลค่ารวมกว่า 2 หมื่นลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday March 4, 2020 17:25 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายในปี 63 ที่ 2.15 หมื่นล้านบาท และรายได้รวม 1.6 หมื่นล้านบาท จากทั้งธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย ธุรกิจบริการ และธุรกิจที่สร้างรายได้ต่อเนื่องที่จะเริ่มรับรู้รายได้ในปีนี้เป็นปีแรก

แผนธุรกิจในปี 63 บริษัทจะให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างภายในองค์กร สร้างรากฐานการเติบโตของทุกประเภทธุรกิจอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งปรับแผนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจัยภายนอก โดยวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในกลุ่มที่อยู่อาศัยทั้งสิ้น 14 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย โครงการกลุ่มสมาร์ทคอนโดมิเนียม แบรนด์ ดิ ออริจิ้น 2 โครงการ มูลค่ารวม 4.2 พันล้านบาท โครงการกลุ่มลักชัวรี่คอนโดมิเนียม 1 โครงการ มูลค่ารวม 2.3 พันล้านบาท

นอกจากนั้นยังมีโครงการกลุ่มบ้านจัดสรร 10 โครงการ มูลค่ารวม 1.21 หมื่นล้านบาท ครอบคลุมทั้งแบรนด์บริทาเนีย และแบรนด์ใหม่ 3 แบรนด์ ได้แก่ แกรนด์บริทาเนีย ไบรตัน และเบลกราเวีย โครงการกลุ่มอีอีซี 1 โครงการ มูลค่ารวม 1.4 พันล้านบาท ภายใต้แบรนด์เดอะ แฮมป์ตัน (The Hampton) ในศรีราชา

นายพีระพงศ์ กล่าวว่า บริษัทวางแผนการลดค่าใช้จ่ายการขายและบริหาร (SG&A) ให้ลดลงเหลือ 12-13% จากปีก่อนที่ 16.2% โดยควบคุมค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ประกอบกับการควบคุมต้นทุนในการก่อสร้าง พร้อมกับลดค่าใช้จ่ายการดำเนินงานภายในให้ลดลง ซึ่งบริษัทเห็นผลการลดค่าใช้จ่ายมาตั้งแต่ปีก่อนที่ทำให้บริษัทยังมีความสามารถการทำกำไรที่ดี แม้ว่ารายได้จะลดลง โดยมีกำไรราว 3 พันล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 61 ไม่รวมกำไรพิเศษจากการขายที่ดินกว่า 300 ล้านบาท ทำให้บริษัทมองถึงความสำคัญของการบริหารจัดการต้นทุนให้ลดลงท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่เผชิญกับปัจจัยกดดันค่อนข้างมาก

ด้านมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ของบริษัทปัจจุบันมีอยู่ 4.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ราว 1.4 หมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ไปอีก 4 ปีข้างหน้า ทำให้บริษัทไม่มีความกังวลความสม่ำเสมอของรายได้ในอนาคต ส่วนโครงการในสต็อก ปัจจุบันมีอยู่ 8 พันล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 7 พันล้านบาท และแนวราบ 1 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทจะพยายามทยอยระบายสต็อกออกไปด้วยการจัดแคมเปญการตลาดเข้ามากระตุ้น รวมไปถึงการจัดยูนิตราคาพิเศษ เพื่อทำให้การระบายสต็อกทำได้อย่างรวดเร็ว

ในปี 63 บริษัทวางงบลงทุนรวมไว้ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น เงินลงทุนซื้อที่ดินและเช่าที่ดิน 7 พันล้านบาท และเงินที่ใช้ในการก่อสร้าง 8 พันล้านบาท โดยจะใช้เงินจากกระแสเงินสดจากบริษัทเกือบทั้งหมด พร้อมกับบริษัทยังเปิดโอกาสในการมีพันธมิตรรายใหม่ๆ เข้ามาร่วมลงทุนในการพัฒนาโครงการในอนาคตอีกด้วย

นายพีระพงศ์ กล่าวว่า ในปีนี้จะมีพันธมิตรจากต่างประเทศเพิ่มเข้ามาอีก 2 ราย คือ CI:Z จากญี่ปุ่นที่จะร่วมทุนพัฒนาโรงแรม Intercontinental ทองหล่อ และ GS E&S จากเกาหลีใต้ ที่เข้ามาร่วมทุนในโครงการ The Origin ลาดพร้าว 111 เปิดตัวในช่วงครึ่งปีแรกของปี 63 และพันธมิตรจากไทย คือ กลุ่ม บมจ.ดุสิตธานี (DTC) ที่จะเข้ามาร่วมทุนในโครงการคอนโดมิเนียม The Hampton ศรีราชา ส่วนพันธมิตรที่ได้ร่วมลงทุนกับบริษัทอยู่แล้ว คือ โนมูระ เอสเตท จะมีการร่วมทุนในโครงการคอนโดมิเนียมหรู ไนท์บริดจ์ พระราม 4

ทั้งนี้ บริษัทมองว่าภายใน 5 ปีนี้ (ปี 63-67) การปรับโครงสร้างทางธุรกิจของบริษัท และการผลักดันธุรกิจให้เป็น Open Platform และการเน้นกระจายรายได้สู่ธุรกิจประเภท Non-Property ที่เน้นงานด้านบริการเพื่อสร้างรายได้ประจำมากขึ้น จะผลักดันให้รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นไปแตะ 3-4 หมื่นล้านบาท ภายใน 5 ปี โดยที่สัดส่วนรายได้จากการขายที่อยู่อาศัยจะลดลงเหลือ 40% จากปัจจุบันที่ 85% และสัดส่วนรายได้ประจำจะเพิ่มขึ้นมาเป็น 30% จากปัจจุบันที่ 5% ในช่วง 5 ปีนี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ