นายวรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น (SSP) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เฟสที่ 2 และขยายโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม ในประเทศเวียดนาม ขนาดกำลังผลิตราว 100-200 เมกะวัตต์ และผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) มากกว่า 10% ขึ้นไป คาดว่าน่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปีนี้
ขณะเดียวกันบริษัทก็อยู่ระหว่างเจรจากับโรงงานขนาดใหญ่ในประเทศอินโดนีเซีย เพื่อติดตั้งแผงโซลาร์รูฟท็อป กำลังการผลิตขั้นต่ำ 10 เมกะวัตต์ เพื่อจำหน่ายให้กับภาคเอกชน แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ในขณะนี้
สำหรับโครงการในเวียดนามในขณะนี้ ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ หรือโครงการ Binh Nguyen Solar มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 49.6 เมกะวัตต์ มีการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) แล้วตั้งแต่ไตรมาส 2/62 และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม กำลังการผลิต 60 เมกะวัตต์ คาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างได้ในปีนี้ และมีกำหนดจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ในช่วงไตรมาส 3/64
ปัจจุบัน บริษัทมีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 301 เมกะวัตต์ และมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าตามสัดส่วนการลงทุน (PPA Equity) อยู่ที่ 214 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นในประเทศไทย 51.9 เมกะวัตต์, มองโกเลีย 11.3 เมกะวัตต์, ญี่ปุ่น 80.8 เมกะวัตต์ และเวียดนาม 70.4 เมกะวัตต์ โดยมีการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว 113 เมกะวัตต์ ขณะที่ในอีก 3-5 ปีข้างหน้าตั้งเป้ากำลังการผลิตติดตั้งเพิ่มเป็น 400 เมกะวัตต์ จากการพัฒนาโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
"การขยายธุรกิจไปสู่ 4 ประเทศในเอเชีย ทั้งไทย ญี่ปุ่น เวียดนาม และมองโกเลีย ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาทำให้ช่วงนี้บริษัทเห็นโอกาสมากมายในกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาในโรงไฟฟ้าทุกชนิด เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญการเข้าไปเริ่มพัฒนาโครงการตั้งแต่ต้น ซึ่งเมื่อสำเร็จจะได้กำไรสูงกว่าการไปซื้อโครงการต่อจากผู้ประกอบการรายอื่น โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาหลายโครงการ"นายวรุตม์ ระบุ
นายวรุตม์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้มีผู้สนใจซื้อโครงการพลังงานทดแทนของบริษัทที่อยู่ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันมีทั้งสิ้น 5 โครงการ โดยมีการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว 2 โครงการ เพื่อนำเข้าเป็นสินทรัพย์ในกองทุนโครงสร้างพื้นฐานในญี่ปุ่น เนื่องจากมีค่าไฟฟ้าสูง ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาความเหมาะสม
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 63 บริษัทพร้อมเดินหน้าขยายการลงทุนโครงการพลังงานลมในประเทศเวียดนาม ขนาดกำลังการผลิต 48 เมกะวัตต์ โดยขณะนี้มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement : PPA) และมีกำหนดขายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ในช่วงกลางปี 64 ถือเป็นการเปิดมิติใหม่ ในการขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนของบริษัทฯ ไปสู่พลังงานลมจากปัจจุบันที่มีการลงทุนในโรงไฟฟ้าโซลาร์เพียงชนิดเดียว
ในปี 63 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตเกิน 20% และกำไรสร้างสถิติสูงสุดใหม่ โดยได้รับปัจจัยหนุนจากโรงไฟฟ้าในมองโกเลียและเวียดนามทั้ง 2 โรง รวม 66 เมกะวัตต์ ที่เข้ามาช่วงกลางปีที่แล้วจะรับรู้เต็มปี รวมทั้ง โรงไฟฟ้ายามากะ จำนวน 34.5 เมกะวัตต์ จะเริ่มรับรู้ช่วงกลางปีนี้ เชื่อว่าจะทำให้ผลประกอบการเป็นไปตามแผน
ขณะที่แผนในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า บริษัทวางเป้าหมายว่าจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 400 เมกะวัตต์ หรือ 3 เท่า จากปัจจุบันมีโรงไฟฟ้าที่ขายไฟแล้ว 139 เมกะวัตต์ (รวมเฉพาะสัดส่วนที่ SSP ถือ) โครงการที่กำลังพัฒนาอื่นๆ รวมโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่เพิ่งอนุมัติในครั้งนี้ และอีก 129 เมกะวัตต์ จะทยอยขายไฟใน 3 ปีข้างหน้าทั้งหมด ยังเหลืออีกประมาณ 200 เมกะวัตต์อยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อขยายการลงทุนเพิ่มเติม
ส่วนผลการดำเนินงานในปี 62 เป็นไปตามแผนงาน โดยรายได้โต 30.6% จากการเริ่มขายไฟในโรงไฟฟ้าในเวียดนาม 49.6 เมกะวัตต์ ในเดือน มิ.ย.และโรงไฟฟ้าในมองโกเลีย 16.4 เมกะวัตต์ ในเดือน ก.ค.ทำให้ขณะนี้มีโรงไฟฟ้าที่ขายไฟแล้ว 6 โรง รวมกำลังการผลิตติดตั้งที่ 157 เมกะวัตต์ ขณะที่กำไรจากการดำเนินงาน (ไม่รวมรายการพิเศษ FX) สร้างสถิติสูงสุดใหม่อยู่ที่ 613 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% เทียบปีก่อน และมีกำไรสุทธิที่เป็นส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ 545 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16%
นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯยังได้อนุมัติจ่ายปันผลสำหรับงวดผลการดำเนินงานในปี 2562 ในอัตรา 0.11 บาท/หุ้น พร้อมออกวอร์แรนต์ให้กับผู้ถือหุ้นเพื่อเตรียมไว้รองรับแผนขยายการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า โดยออกวอร์แรนต์ 230.5 ล้านหน่วย ที่ราคาแปลงสิทธิ 10 บาท โดยเงินที่ได้จากการแปลงสิทธิ จะมีเพื่อการลงทุนในโครงการใหม่ๆ ที่ยังไม่ประกาศออกมา ไม่เกี่ยวกับทุกโครงการที่กำลังพัฒนาอยู่ซึ่งมีเงินทุนพร้อมอยู่แล้ว