MINT ตั้งเป้ารายได้ช่วง 5 ปี (63-67) โตเฉลี่ยปีละ 8% พร้อมวางงบลงทุน 6 หมื่นลบ.คาดพิษโควิดกระทบงบ Q1/63

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday March 5, 2020 18:20 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) กล่าวว่า บริษัทวางแผนการดำเนินงานในระยะ 5 ปี (63-67) ตั้งเป้ารายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 8% เนื่องจากมีแผนขยายโรงแรมเพิ่มเป็น 750 แห่ง จากปีก่อนอยู่ที่ 535 แห่ง, ร้านอาหารเพิ่มเป็น 3,700 แห่ง จากปีก่อน 2,377 แห่ง, พื้นที่รีเทลเพิ่มขึ้นเป็น 560 แห่ง รวมมากกว่า 32,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) จากปีก่อนอยู่ที่ 485 แห่ง รวม 31,398 ตร.ม., อสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 250 แห่ง จากปีก่อนอยู่ที่ 132 แห่ง และคลับ 350 แห่ง จากปีก่อนอยู่ที่ 132 แห่ง

ขณะที่วางงบลงทุน 5 ปีไว้ที่ 60,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยต่อปีประมาณ 10,000-15,000 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจโรงแรม, ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย, ธุรกิจร้านอาหาร, ธุรกิจรีเทล และอื่นๆ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ รวมถึงตั้งเป้ารักษาอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ไว้ที่ 1.3 เท่า ซึ่งเป็นระดับเดียวกับปัจจุบัน โดยหาก D/E ขยับเพิ่มขึ้นก็จะขายสินทรัพย์ที่ไม่สร้างกำไรออกไป

สำหรับภาพรวมในปี 63 ขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินได้ เนื่องจากต้องรอดูสถานการณ์ต่างๆ ทั้งเศรษฐกิจโลก และการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ขณะที่คาดผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/63 น่าจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะในเดือน มี.ค.เป็นต้นไป ซึ่งบริษัทจะควบคุมและรักษาการยกเลิกการจองห้อง (Booking) ให้ได้มากที่สุด ส่วนอัตราการเข้าพัก (Occupancy) อาจลดลงมาบ้าง แต่กรณีลดมากที่สุดคาดว่าจะไม่เกิน 50%

ทั้งนี้ สถานการณ์ในช่วงเดือน ม.ค.63 ธุรกิจโรงแรมยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ขณะที่เดือน ก.พ.63 รายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) ในยุโรปติดลบ 3-4% ด้านธุรกิจร้านอาหารยอดขายต่อสาขาเดิม (SSSG) ในเดือน ม.ค.63 ยังเติบโตได้ 4-5% แต่หลังเกิดเหตุการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รุนแรงขึ้น ทำให้เดือน ก.พ.63 ติดลบสูงถึง 8-10% แต่ขณะนี้ติดลบน้อยลงเหลือ 4-5% แล้ว ซึ่งบริษัทฯ จะเร่งทำโปรโมชั่น และเน้นบริการอาหารด้วยการดิลิเวอรี่ เพื่อทำให้ยอดขายโดยรวมเติบโตได้ เชื่อว่าหลังเหตุการณ์คลี่คลายลง ยอดขายจะกลับมาปกติ รวมถึงบริษัทจะบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด

นายชัยพัฒน์ กล่าวว่า ในช่วงกลางปี NH Hotel Group มีแผนเข้าซื้อกิจการโรงแรมระดับไฮเอนด์ในยุโรปเข้ามาเสริมพอร์ต และบริษัทจะรีแบรนด์เป็น Anantara และ NH Collection ต่อไป อีกทั้งบริษัทยังมีแผนเพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน Bread Talk สิงคโปร์เป็น 25% จากเดิม 14% ภายในปีนี้เช่นกัน

ด้านนายพอล ชาลีส์ เคนนี่ กรรมการ MINT กล่าวว่า ล่าสุด วันที่ 5 มี.ค.62 บริษัท Primacy Investment Limited และบริษัท ไมเนอร์ ฟู้ด โฮลดิ้ง จำกัด เป็นบริษัทย่อยที่บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 100% ที่ MINT ถือหุ้น 99.73% ได้เข้าลงทุนซื้อหุ้นในบริษัท Spoonful Pte. Ltd. (Spoonful) และบริษัท สพูนฟูล (ประเทศไทย) จำกัด (Spoonful TH)

โดยการเข้าซื้อหุ้น เป็นการซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิม คือ Manhattan (Mauritius) Limited มูลค่าเงินลงทุน 2,483 ล้านบาท โดย Primacy Investment Limited จะเข้าไปถือหุ้น Spoonful ในสัดส่วน 70% ส่วน บริษัท ไมเนอร์ ฟูด โฮลดิ้ง จำกัด จะเข้าไปถือหุ้น Spoonful TH ในสัดส่วน 51.10% และ Spoonful ในสัดส่วน 27%

ดังนั้นบริษัทจะกลายเป็นเจ้าของแฟรนไชส์ร้านอาหาร Bonchon ในประเทศไทยในระยะยาวแต่เพียงผู้เดียว รวมถึงสิทธิในการให้แฟรนไชส์ต่อ และดำเนินกิจการร้านอาหาร Bonchon ร้านใหม่ หรือสาขาใหม่ในไทย เพื่อสร้างความแข็งแกร่ง และกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ พร้อมผลตอบแทนทางการเงินจากเงินปันผล และส่วนเกินมูลค่าหุ้นในอนาคต

แผนดำเนินงานภายในปี 63-67 จะขยายสาขา Bonchon กว่า 150 แห่งทั่วประเทศ หรือขยายร้านเฉลี่ย 25% ต่อปี ทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดหลัก เพราะปัจจุบันสาขานอกเขตกรุงเทพฯเพียง 2 สาขา รวมถึงขยายไปยังค้าปลีกประเภทอื่นๆ รองรับการบริการจัดส่งอาหารที่เติบโตสูง ตอกย้ำความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของตลาดไก่ทอด และคอนเซปต์แบรนด์ที่เป็นเอกลักษณ์


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ