นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะปรับตัวลงตามตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเช้านี้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ -2% ถึง -4% เช่นเดียวกับดาวโจนส์ฟิวเจอร์สที่เช้านี้ร่วงไป 1,000 จุด โดยคาดว่าจะได้รับแรงกดดันจากหุ้นในกลุ่มพลังงานที่คาดว่าจะนำดิ่งในวันนี้ หลังจากที่การประชุมกลุ่มโอเปกไม่ได้ข้อสรุปอะไร ทางรัสเซียไม่เห็นด้วยที่จะลดกำลังการผลิต ส่งผลให้ซาอุดิอาระเบียซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลกได้ตอบโต้รัสเซีย ด้วยการประกาศลดราคาขายน้ำมัน และยังจะมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันด้วย ส่งผลให้เช้านี้ราคาน้ำมันฟิวเจอร์สติดลบ 20% ทั้ง WTI และ Brent โดยเช้านี้ราคาน้ำมันดิบ WTI ลงมาเหลือ 32.6 เหรียญฯ/บาร์เรล ในเช้านี้
นอกจากนี้ ยังมีความกังวลการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลก อีกทั้งการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 17-18 มี.ค.นี้ ตลาดฯคาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.5-0.75% และการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันที่ 12 มี.ค.นี้ ตลาดฯคาดการณ์ว่าจะมีการออกมาตรการที่จะมากระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม อย่างไรก็ดี สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในจีนก็ลดลงเรื่อย ๆ ทั้งจำนวนผู้เสียชีวิต และผู้ติดเชื้อ
พร้อมให้แนวรับ 1,317-1,330 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 1,350 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (6 มี.ค.63) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,864.78 จุด ลดลง 256.50 จุด (-0.98%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,972.37 จุด ลดลง 51.57 จุด (-1.71%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,575.62 จุด ลดลง 162.98 จุด (-1.87%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 406.44 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 47.33 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 1,012.65 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 100.05 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 59.20 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 69.39 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 23.29 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (6 มี.ค.63) 1,364.57 จุด ลดลง 26.26 จุด (-1.89%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3,428.89 ล้านบาท เมื่อวันที่ 6 มี.ค.63
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน เม.ย. ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (6 มี.ค.63) ปิดที่ 41.28 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 4.62 ดอลลาร์ หรือ 10.07%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (6 มี.ค.) อยู่ที่ 1.30 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 31.42 แข็งค่าจากแรงขายดอลล์หลังบอนด์ยีลด์สหรัฐทำนิวโลว์ แนวโน้มผันผวน มองกรอบวันนี้ 31.40-31.50
- "บิ๊กค้าปลีก" สู้โควิด-19 ลูกค้าวูบ 30% งัดแผนฉุกเฉิน "ถล่มราคา" ถี่ยิบยาวครึ่งปี กลุ่มสยามฯปลุกไทยเที่ยวไทย ขณะห้างเซ็นทรัลลุยฮอตไพรซ์ ฮอตดีล "เดอะมอลล์" ดัน "ช้อปช่วยไทย" ด้านโรบินสัน ชู "คอนแท็คเลส เพย์เมนท์" ลดลูกค้าลดสัมผัสเงินสด
- สารพัดปัจจัยลบ ทั้ง โควิด-19 เทรดวอร์ ภัยแล้ง กดดันเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทย ชะลอตัวฉุดยอดการตั้งและขยายโรงงาน 2 เดือนแรกปีนี้ลดวูบ 5.58% เอกชนยังคงรอสถานการณ์ให้ทุกอย่างคลี่คลาย
- ก.ล.ต.ส่งหนังสือเวียนซักซ้อมแนวทางดำเนินงานของโบรกเกอร์ เตรียมพร้อมรับมือแพร่ระบาดโควิด-19 เพื่อดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง
- "สนข." กางแผนปี 63 ลุยศึกษาระบบ Feeder เชื่อมโปรเจ็กต์รถไฟฟ้าในเมือง ปูพรมรางต่อเรือหวังอำนวยความสะดวกการเดินทาง-เพิ่มทางเลือก หวังดึงประชาชนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น
- "บอร์ด ธ.ก.ส." ไฟเขียวมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้-ผู้ประกอบการภาคเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจไทย ลุยขยายเวลาชำระหนี้ ลดดอกเบี้ย ปลอดชำระเงินต้น 3 ปีแรก พร้อมอัดสินเชื่อดอกเบี้ยผ่อนปรนบรรเทาความเดือดร้อน
*หุ้นเด่นวันนี้
- CHG (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 3 บาท ถูกกระทบจาก COVID-19 น้อยมากเพราะมีลูกค้าต่างชาติเพียง 3% ส่วนผู้ป่วยไทย OPD อาจหายไปบ้างเพราะความกังวล แต่การเติบโตของรายได้ประกันสังคมที่ สปส.ปรับเพิ่มค่าหัวตั้งแต่ต้นปี ชดเชยได้ แต่การเติบโตของรายได้ประกันสังคมที่ สปส.ปรับเพิ่มค่าหัวตั้งแต่ต้นปี ชดเชยได้ และเชื่อว่าจะไม่มีปัญหาเงินไม่พอจ่ายเหมือนปีก่อนๆ โดยยังคาดกำไรปีนี้เติบโต 23.5% Y-Y ยังเลือก CHG เป็น Top pick ของกลุ่ม
- ADVANC (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 247 บาท ได้รับผลกระทบจากไวรัส Covid-19 น้อยสุดเมื่อเทียบกับกลุ่ม อุตสาหกรรมอื่นๆ และยังได้ผลบวกจากการลดลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล คาดมีการย้ายเงิน ลงทุนเข้าหุ้นที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอและให้ Dividend yield สูงเพิ่มมากขึ้น (ADVANC ปี 2563 คาดจ่ายปันผล 7.9 บาทต่อหุ้นให้ Dividend yield ประมาณ 3.9%)