นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) (KTBST) มองแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ (9-13 มี.ค.63) ยังคงผันผวน จากประเด็นเรื่องการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แม้ข้อมูลจากทางประเทศจีนจะระบุว่าเริ่มควบคุมการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อได้แล้ว แต่การติดเชื้อในประเทศอื่นๆ ยังเพิ่มขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อธุรกิจการบินและการเดินทาง รวมถึงการใช้จ่ายเพื่อบริโภคที่ชะลอลงและการผลิตของโลกสะดุดลง โดยรวมจึงยังคงเป็นปัจจัยลบและกดดันมาถึงตลาดหุ้นไทยด้วย จะเห็นได้ว่าดัชนี SET ยังไม่สามารถผ่านระดับ 1,400 จุด ขึ้นไปได้ แม้จะมีเม็ดเงินกว่า 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐที่เตรียมอัดฉีดเข้ามาในระบบ
ด้านราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงแรงในวันศุกร์ที่ผ่านมาถึง 9% และต่อเนื่องมาถึงเช้าวันนี้ เนื่องจากผู้ผลิตน้ำมันไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการลดกำลังการผลิตได้ ทางประเทศซาอุดิอาราเบียประกาศลดราคาน้ำมันเพื่อเป็นการตอบโต้ จึงเป็นผลลบต่อหุ้นกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน โรงงานปิโตรเคมีและโรงกลั่นน้ำมันในบ้านเรา
อย่างไรก็ตาม การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเพื่อชะลอผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ด้วยงบประมาณ 2 แสนล้านบาท จะช่วยพยุงเศรษฐกิจได้ แต่อาจมีบางกลุ่มธุรกิจ เช่น กลุ่มการเงิน อาจต้องมีมาตรการช่วยกลุ่มลูกหนี้ ดังนั้น จึงมองว่ามาตรการเหล่านี้อาจไม่ได้นี้เป็นบวกทั้งหมด ขณะที่กระแสข่าวการเพิ่มสิทธิในลดหย่อนภาษีของกองทุนเพื่อการออม (SSF) อีก 1 แสนบาท ซึ่งกำหนดให้ไม่เกินเดือน มิ.ย.นี้ คาดว่าจะช่วยกระตุ้นราคาหุ้นขนาดใหญ่ได้เมื่อกองทุนฯเปิดให้มีการจองซื้อ
สำหรับประเด็นสำคัญในสัปดาห์นี้ที่ต้องติดตามคือ การายงานตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคในวันที่ 9 มี.ค. และการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) เรื่องทิศทางอัตราดอกเบี้ย ในวันที่ 12 มี.ค.
คำแนะนำการลงทุนในสัปดาห์นี้ KTBTS ประเมินว่า การร่วมมือของรัฐบาลและธนาคารกลางประเทศต่างๆ ถือเป็นบวกต่อตลาด แต่ดัชนีฯถูกกดจากราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลง ทำให้มีโอกาสหลุด 1,300 จุดลงไป ดังนั้น จึงต้องกลับมาตั้งรับผลกระทบจากสองเรื่องนี้อีกครั้ง คือ ทยอยขายทำกำไรช่วงสั้นลดความเสี่ยง หากดัชนีต่ำกว่า 1,317 จุด ให้พิจารณาขายเพื่อลดพอร์ต ขณะที่สินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ-พันธบัตร จะได้รับความสนใจมากกว่าตลาดหุ้นในสัปดาห์นี้ กลยุทธ์ลงทุนแนะถือเงินสดเพิ่มเป็น 40% หุ้นที่น่าสนใจได้แก่ AOT , LH , RATCH และ BJC ประเมินกรอบดัชนีสัปดาห์ 1,270-1,393 จุด