นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เจ มาร์ท (JMART) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมของกลุ่มบริษัทในปี 63 จะเติบโตได้ 10% และกำไรเติบโต 25% จากปีก่อนที่มีรายได้ 11,926.92 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 533.85 ล้านบาท โดยหลักจะมาจากผลการดำเนินงานของบมจ.เจเอ็มที (JMT) ที่คาดว่ารายได้จะเติบโต 15% หรือมีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 25% ของรายได้รวมกลุ่ม JMART จากปีก่อนอยู่ที่ 21% เนื่องจากมองโอกาสขยายพอร์ตธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกันเพิ่มขึ้นในปีนี้
ขณะที่ธุรกิจโทรศัพท์มือถือของ บมจ.เจโมบาย (J Mobile) คาดว่าปีนี้รายได้จะเติบโต 10% หรือมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 60% ของรายได้รวม ลดลงจากปีก่อนที่อยู่ที่ 64% เนื่องจากบริษัทได้เปลี่ยนแปลงการดำเนินธุรกิจจากเดิมที่มุ่งไปทาง Retail มาเป็น Finance มากขึ้น อย่างไรก็ตามการเติบโตของธุรกิจในปีนี้ บริษัทจะมุ่งสู่การเป็น Gadget Destination คาดว่าจะทำยอดขายสินค้าเพิ่มเป็น 760 ล้านบาท จากเดิม 400 ล้านบาท, การขายสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยี 5G ซึ่งจะส่งผลดีต่อรายได้เฉลี่ยต่อเลขหมายเพิ่มขึ้น
"เป้าหมายการเติบโตในปีนี้ เราจะมุ่งเน้นการบริหารจัดการภายในให้ดีอย่างต่อนื่อง ปักธงบุกสินค้านวัตกรรมและเทคโนโลยี รับโอกาสจาก 5G ตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่ อีกทั้งปรับกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่การเป็น Gadget Destination โดยการนำสินค้ากลุ่มแกดเจ็ตที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง และอัตรากำไรที่ดี มาขยายผ่านสาขา Jaymart และ Jaymart ioT ซึ่งสิ้นปี 62 มีสาขาภายใต้การบริหารของบริษัทรวมกันที่ 192 สาขา"
พร้อมกันนี้ บริษัทตั้งเป้าเปิดสาขาใหม่ในปีนี้ 15 สาขา รวมทั้งปรับโฉมสาขาเดิม 40 สาขา ควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนสัดส่วนสินค้าในร้านเจมาร์ท ซึ่งมีสมาร์ทโฟนครบทุกแบรนด์ชั้นนำ ทำให้มีสินค้านวัตกรรมมากขึ้น อีกทั้ง ความสำเร็จในการเป็นพันธมิตรทางการค้ากับ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) จัดจำหน่ายแพ็คเกจซิมควบคู่กับโทรศัพท์เคลื่อนที่ช่วยเพิ่มความสามารถการแข่งขันทางการตลาดด้วย
ส่วนธุรกิจ J Fintech ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 7.5% ของรายได้รวม ในปี 63 บริษัทตั้งเป้าจะขยายพอร์ตสินเชื่อต่อเนื่อง โดยจะควบคุมคุณภาพการปล่อยสินเชื่ออย่างเข้มข้น จากการขยายผ่านช่องทางทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ควบคู่การบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันจะควบคุมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในปีนี้ไว้ไม่ให้เกิน 5% จากปีก่อนอยู่ที่ 5.02%
นอกจากนี้ บริษัท เจ เวนเจอร์ส (JVC) ในปีที่ผ่านมาบริษัทได้พัฒนาระบบสินเชื่อดิจิทัลที่ไม่มีตัวกลาง JFIN DDLP (Decentralized Digital Lending Platform) บนเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) เสร็จสิ้นและพร้อมใช้งานเร็วกว่ากำหนดการเดิมที่วางไว้ตาม Whilte Paper ทำให้ในปีนี้บริษัทสามารถรับรู้รายได้ตามมาตรฐานบัญชีเข้ามาราว 85 ล้านบาท จากเงินระดมทุนผ่านทาง ICO อีกทั้งยังมีแผนพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง และรับรู้ส่วนแบ่งในฐานะผู้พัฒนาแพลตฟอร์มหากมีคนเข้ามาขอสินเชื่อ ได้แก่ แพลตฟอร์ม ป๋า , J Loan Lite , เต็มใจเพย์ และอื่นๆ เพื่อสร้างฐานรายได้ที่เติบโตขึ้น จึงคาดว่า ในปี 63 จะเป็นอีกปีที่ดีของ เจ เวนเจอร์ส
นายอดิศักดิ์ กล่าวว่า ภารกิจหลักของ เจ เวนเจอร์ส คือการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้ภายในกลุ่มเจมาร์ท หรือการทำ Digitization เข้ามาสร้างโอกาสในอนาคต ทั้งการยืนยันตัวตน การรับรู้พฤติกรรมของผู้บริโภค และพัฒนาไปสู่โมเดลธุรกิจ O2O หรือ Online to Offline รวมทั้ง Offline to Online ให้กลุ่มเจมาร์ทมุ่งสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกและการเงินที่แข็งแกร่งที่สุด และเป็นอีกหนึ่งผู้นำทางด้านเทคโนโลยี รองรับการ Disruption ของธุรกิจค้าปลีกและการเงินในอนาคต
ด้าน บมจ.เจเอเอส แอสเซ็ท (J) ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันรายได้ของบริษัทในปีนี้ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 7.5% ของรายได้รวม โดย J ได้ตั้งเป้ารายได้ปีนี้จะเติบโตมาอยู่ที่ 990 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในปี 63 บริษัทฯ ยังวางงบลงทุนรวมไว้ที่ 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็นใช้ใน JMT 50% ส่วนที่เหลืออีก 50% จะใช้ในธุรกิจอื่นๆ