นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย (JKN) กล่าวว่า บริษัทคาดว่าย้ายเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในครึ่งปีหลังนี้ หลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) มาเป็นระยะเวลากว่า 2 ปี เพื่อผลักดันให้บริษัทมีความแข็งแรงและมั่นคง รวมถึงเป็นที่น่าเชื่อถือของนักลงทุนทั่วโลก ขณะเดียวกันยังช่วยเพิ่มสภาพคล่องในการซื้อหุ้น ช่วยให้การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นมีเสถียรภาพ (Fair Value) และปลดล็อคให้กับนักลงทุนสถาบัน ทั้งกองทุนในประเทศและต่างประเทศเข้าลงทุน
ในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 10-15% เป็น 2,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่ทำได้ราว 1,700 ล้านบาท โดยหลักจะมาจากการค้าคอนเทนท์ออกสู่ต่างประเทศ ด้วยการมุ่งขยายฐานลูกค้าซีรีส์อินเดียและฟิลิปปินส์ ในกลุ่มประเทศ CLMV เนื่องจากมีศักยภาพการเติบโตสูง จากพฤติกรรมการรับชมคอนเทนต์คล้ายคลึงกับคนไทย ขณะที่ซีรีส์ละครไทยจากช่อง 3 บริษัทได้เจาะกลุ่มสถานีโทรทัศน์รายใหม่และแพลตฟอร์มต่างๆ ในประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเกาหลีใต้ รวมถึงรุกตลาดในกลุ่มประเทศละตินอเมริกาเพิ่มเติม
นอกจากนี้ ตลาดในประเทศมองว่ายังมีการเติบโตที่ดีอยู่ โดยบริษัทจะมีการจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ประเภทซีรีส์อินเดีย ฟิลิปปินส์ และสารคดีแบรนด์ชั้นนำระดับโลกผ่านทุกแพลตฟอร์ม ทั้งช่องทางทีวีดิจิทัล ทีวีดาวเทียม และวีดีโอออนดีมานต์ (VOD) โดยได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลที่ซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์ไปออกอากาศเพิ่มเติม เช่น ช่อง 8, ช่อง GMM 25 หลังปรับนโยบายซื้อคอนเทนต์ออกอากาศแทนการผลิตรายการเอง เพื่อลดต้นทุนช่วงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ขณะที่ช่องทางรับชมผ่านวีดีโอออนดีมานด์ และทีวีดาวเทียมยังมีโอกาสเติบโตอีกมากเช่นกัน ซึ่ง JKN จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากช่องทางดังกล่าวมากขึ้น
"ในปีนี้เราได้ตั้งเป้าเป็นผู้นำด้าน Content เนื่องจากเรามีช่องทางการรับชมผ่านแพลตฟอร์มทั้งสิ้น 7 แพลตฟอร์ม และอีก 1 Over-the-top (OTT) ครอบคลุมทุกความบันเทิงและสาระความรู้ให้แก่ผู้ชมทั่วโลก เพื่อสร้างการรับรู้ให้ JKN ก้าวสู่การเป็น ‘Enriching the consumer’s experience worldwide with diverse global contents for sustainable growth’ หรือ ผู้รังสรรค์ประสบการณ์ที่น่าประทับใจจากคอนเทนต์ที่หลากหลายระดับโลกเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน"
พร้อมกันนี้บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เพื่อเพิ่มศักยภาพในการขยายตลาดต่างประเทศ โดยเอ็กซิมแบงก์จะช่วยตรวจสอบมาตรฐานทางการเงินของคู่ค้าด้านการชำระเงินก่อนมีการซื้อขายคอนเทนต์ พร้อมทั้งรับประกันความเสี่ยงแทน JKN หากกรณีคู่ค้าในต่างประเทศเกิดมีการผิดนัดชำระ ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้ ส่งผลให้ JKN สามารถลดความเสี่ยงจากการดำเนินงานธุรกิจต่างประเทศ และสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
อีกทั้ง JKN ยังร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับกลุ่ม มอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley) บริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติด้านบริการทางการเงินระดับโลกที่ต้องการแสวงหาโอกาสการลงทุนต่างประเทศเพิ่มเติมที่ได้ตัดสินใจเลือกลงทุนใน JKN ผ่านกองทุน North Haven Thai Private Equity โดยเป็นการลงทุนผ่าน Convertible Bond หรือหุ้นกู้แปลงสภาพ ด้วยเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโต โดยบริษัทเชื่อว่าจากการร่วมลงทุนในครั้งนี้ Morgan Stanley จะเข้ามาช่วยวางแผนการดำเนินงานต่างๆ โดยฉพาะการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ JKN ก้าวสู่การเป็นบริษัทผลิตและจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ชั้นนำระดับโลกได้
ด้านนายธีรภัทร เพ็ชรโปรี รองกรรมการผู้จัดการสายงานการเงินและบัญชี JKN กล่าวว่า สำหรับแผนนำ JKN ย้ายเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บริษัทจะใช้เกณฑ์ Profit Test ซึ่งขั้นตอนต่อจากนี้ บริษัทจะเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นอนุมัติจ่ายเงินปันผลเป็นหุ้นในอัตรา 8 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล และเงินสดอีกหุ้นละ 0.14 บาท พร้อมเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 104.8 ล้านหุ้นเพื่อรองรับการจ่ายปันผล การปรับสิทธิของหุ้นกู้แปลงสภาพ และปรับสิทธิใบแสดงสำคัญแสดงสิทธิ JKN-W1 ส่งผลให้มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเพิ่มเป็น 303.75 ล้านบาท คิดเป็น 607.5 ล้านหุ้น เข้าเกณฑ์ตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย