นายปิยะ เตชากูล กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอทีพี 30 (ATP30) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลดำเนินงานในไตรมาส 1/63 ของบริษัทคาดว่าจะชะลอตัวลง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการในภาคการผลิตที่เป็นลูกค้าของบริษัทชะลอและลดกำลังการผลิตลง ส่งผลให้จำนวนเที่ยวบริการขนส่งพนักงานลดลง ทำให้รายได้ในส่วนนี้ที่เป็นรายได้หลักของบริษัทชะลอตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 4/62
ขณะเดียวกัน ผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันมีผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยว ทำให้บริษัทหยุดการให้บริการรถขนส่งนักท่องเที่ยวไปในช่วงนี้ ทั้งในส่วนบริการของบริษัทเอง และบริการที่ร่วมกับพันธมิตร คือ บมจ.ท่าเรือราชาเฟอร์รี่ (RP) หลังจากที่จำนวนเที่ยวเรือให้บริการข้ามฝั่งลดลง เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวหายไป
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังประเมินว่ารายได้ปี 63 จะเติบโตได้ราว 5% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 458.89 ล้านบาท โดยจะมาจากการเริ่มให้บริการลูกค้ารายใหม่ ซึ่งในไตรมาสแรกนี้ได้เริ่มให้บริการลูกค้าใหม่แล้ว 2 ราย และจะมีลูกค้าใหม่ในช่วงไตรมาส 2/62 เพิ่มอีก 2 ราย โดยลูกค้ารายใหญ่ คือ บมจ.ปูนซีเมนต์นครหลวง (SCCC) ที่ให้บริการรถขนส่งพนักงานในโรงงาน จ.สระบุรี ซึ่งเป็นการขยายการให้บริการออกไปนอกภาคตะวันออก
อีกทั้งบริษัทยังคงมีการเจรจาให้บริการกับลูกค้าอื่นๆ เข้ามาเพิ่มขึ้น เพราะยังมีผู้ประกอบการที่มีปัญหาเรื่องการขนส่งพนักงานอยู่ค่อนข้างมาก ทำให้เป็นโอกาสของบริษัทในการที่เข้าไปช่วยแก้ปัญหาจากความเชี่ยวชาญของบริษัท ซึ่งจะทำให้ฐานลูกค้าของบริษัทขยายเพิ่มขึ้นได้อีก และสัญญาการให้บริการขนส่งพนักงานเป็นสัญญาระยะยาว 5 ปี ทำให้สามารถรองรับรายได้ในอนาคตได้ดี
อย่างไรก็ตาม ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว บริษัทคำนึงถึงการควบต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆของบริษัทอย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้ต้นทุนลดลง โดยในส่วนของการรับงานบริษัทจะมีการพิจารณารับงานที่ไม่จำเป็นต้องซื้อรถใหม่มาให้บริการเพิ่มขึ้น เพื่อช่วยรักษาต้นทุนไม่ให้เพิ่มขึ้น ส่วนต้นทุนเชื้อเพลิงน้ำมันซึ่งมีสัดส่วน 25-28% ของต้นทุนการให้บริการ บริษัทจะมีการเปลี่ยนการเติมน้ำมัน B5 และ B7 มาเป็น B10 เพื่อลดต้นทุนเชื้อเพลิงลง แต่ปัจจุบันราคาน้ำมันได้ปรับตัวลดลงถือว่าส่งผลบวกต่อต้นทุนของบริษัทได้อย่างมีนัยสำคัญ
นายปิยะ กล่าวอีกว่า การที่บริษัทเน้นการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อทำให้อัตรากำไรสุทธิของบริษัทในปี 63 ไม่ต่ำกว่า 10% และรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ที่ระดับ 25-26% และหากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 คลี่คลายไปได้ในไตรมาส 2/63 บริษัทมองว่าการบริการจะเริ่มกลับมาเป็นปกติ และจำนวนเที่ยวของการให้บริการจะกลับมาเพิ่มขึ้น พร้อมกับวางแผนซื้อรถให้บริการเพิ่มขึ้นอีก 23 คัน เพื่อรองรับให้บริการลูกค้าใหม่ จากปัจจุบันมีจำนวนรถอยู่ที่ 308 คัน