นายวิบูลย์ อุตสาหจิต ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สยามเวลเนสกรุ๊ป (SPA) กล่าวว่า บริษัทยอมรับว่าในช่วง 2 เดือนแรก หรือ เดือน ม.ค.-ก.พ.63 ได้รับผลกระทบเล็กน้อยจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยคาดตัวเลขรายได้น่าจะติดลบบ้างเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ยังเป็นตัวเลขหลักเดียวอยู่ เนื่องจากสัดส่วนลูกค้าราว 55% เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน แต่อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้ใช้บริการในภาพรวมของบริษัทในช่วงดังกล่าวถือว่าอยู่ในระดับที่ดีเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมโดยรวม
ขณะที่ทิศทางเดือน มี.ค.63 บริษัทรอดูว่าภาครัฐจะออกมาตรการที่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นในเร็ววันหรือไม่ ควบคู่ไปกับการประเมินการปรับลดค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายคงที่ เช่น ค่าเช่า และการแบ่งรายได้กัน โดยค่าเช่าบริษัทก็มีการเจรจากับผู้ให้เช่า ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีการลดค่าเช่าลงมาในช่วงสั้น ๆ ในอัตรา 30-50%
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้จะเติบโต 20% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 1,403.14 ล้านบาท โดยจะมาจากการขยายสาขาเพิ่มขึ้นปีละ 10 สาขา และการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) รวมถึงการรับบริหารสปาในโรงแรม และการออกผลิตภัณฑ์สปา อย่างไรก็ตามภายหลังจากการปิดงบผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/63 อาจมีการทบทวนเป้าหมายผลการดำเนินงานใหม่ เพื่อให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ รวมถึงอัตราการเข้าใช้บริการของนักท่องเที่ยวที่ลดลง
"ในช่วงที่ผ่านมาทางประเทศจีนได้มีการประกาศการพ้นช่วงวิกฤตระบาดของไวรัสโควิด-19 มองว่าเป็นปัจจัยเชิงบวก เนื่องจากทำให้สาขาสปาในประเทศจีนตอนนี้สามารถกลับมาเปิดให้บริการได้ตามปกติแล้ว โดยปัจจุบันบริษัทมีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 65 สาขา แบ่งเป็นสาขาในประเทศ 60 สาขา และสาขาในประเทศจีน 5 สาขา ซึ่งสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศของบริษัทในปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 1% ของรายได้รวม"นายวิบูลย์ กล่าว
บริษัทยังวางงบลงทุนปีนี้ไว้ราว 250 ล้านบาท ใช้ในการขยายสาขาใหม่ การปรับปรุงประสิทธิภาพของสาขาเดิม โดยเฉพาะในสาขาที่มีที่ดินเป็นสินทรัพย์ของบริษัทเอง เพื่อให้มีความทันสมัยและมีพื้นที่ให้บริการแก่ลูกค้าที่เพิ่มขึ้น และใช้ในการเข้าลงทุนควบรวมกิจการ (M&A) โดยยังมองเป็นธุรกิจ Wellness เป็นหลัก