นายชัยรัตน์ ศิวะพรพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บมจ.เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) กล่าวว่า บริษัทยอมรับว่ารายได้ในปี 63 น่าจะลดลงจากเป้าหมายเดิมที่คาดจะเติบโตราว 60% หลังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่เชื่อว่าจะยังคงเติบโตดีกว่าปีก่อนที่มีรายได้ 4,038.14 ล้านบาท จากการรับรู้รายได้ของโรงแรม Crossroads จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ โรงแรม ซาย ลากูน มัลดีฟส์ คูริโอ คอลเล็กชั่น บาย ฮิลตัน (SAii Lagoon Maldives, Curio Collection by Hilton) และโรงแรม ฮาร์ดร็อค โฮเทล มัลดีฟส์ (Hard Rock Hotel Maldives) ที่จะเข้ามาเต็มปี
ทั้งนี้ ผลกระทบที่เกิดจากโควิด-19 ส่งผลทำให้มีการยกเลิกการจองห้องพักในช่วงต้นเดือน มี.ค.จนถึงปัจจุบัน คิดเป็นมูลค่าราว 50-100 ล้านบาท แต่ยังถือว่าอยู่ในวิสัยที่บริษัทพอรับได้ ขณะเดียวกัน บริษัทก็มีการประเมินสถานการณ์หลังจากเดือน มี.ค.เป็นต้นไป สำหรับผู้ที่ยังไม่มีการจองห้องพักก็อาจจะส่งผลต่อการตัดสินใจช้าลงในแง่ของการวางโปรแกรมการท่องเที่ยว จึงคาดว่าในเดือน เม.ย.-พ.ค.63 น่าจะเป็นเดือนที่ท้าทายอย่างมาก
แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์ โดยการเสนอมาตรการกับลูกค้าให้มีการเลื่อนการเข้าพักแทน ทำให้มีลูกค้ากว่าครึ่งหนึ่งที่ตัดสินใจจะยกเลิกกลับมาเข้าพักใหม่ จึงคาดว่าน่าจะมีลูกค้าเข้ามาพักได้ในช่วงไตรมาส 4/63 จนถึงปี 64 ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถบรรเทาการสูญเสียรายได้ในส่วนนี้ มาเป็นการรับรู้รายได้ช้าลง
"ในช่วง 2 เดือนแรกที่ผ่านมา โดยเดือน ม.ค.63 สถานการณ์การเข้าพักยังดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน หากสถานการณ์ปกติก็เชื่อว่าทั้งปีก็น่าจะดีกว่าปี 62 ขณะที่โรงแรมในมัลดีฟส์ หลังจากมีการขายเต็มรูปแบบ ก็ส่งผลทำให้โรงแรม ซาย ลากูน มัลดีฟส์ คูริโอ คอลเล็กชั่น บาย ฮิลตัน มีอัตราการเข้าพัก (OCC) ราว 80% และโรงแรม ฮาร์ดร็อค โฮเทล มัลดีฟส์ มีอัตราการเข้าพัก (OCC) ราว 60% ซึ่งถือว่าเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก แต่พอหลังจากสถานการณ์โควิด-19 เกิดขึ้น ก็ส่งผลให้นักท่องเที่ยวยกเลิกการเดินทางมา โดยเฉพาะในช่วงเดือนก.พ.-มี.ค.63 ที่น่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุด"
นอกจากนี้ บริษัทยังได้มีการกระจายความเสี่ยงจากกลุ่มนักท่องเที่ยว เห็นได้จากปัจจุบันกลุ่มนักท่องเที่ยวเอเชียแปซิฟิกจะคิดเป็น 50% และนักท่องเที่ยวชาวจีนคิดเป็น 6% โดยได้ปรับลดลงจากปี 59 ที่อยู่ที่ 12% เนื่องจากบริษัทได้มีการศึกษาพฤติกรรมของคนจีนผ่านเหตุการณ์เรือล่มที่ จ.ภูเก็ต ขณะที่พฤติกรรมนักท่องเที่ยวชาวจีนในช่วงที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่าจีนจะมีการท่องเที่ยวใหญ่ๆ ใน 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงต้นปีหรือปลายเดือน ม.ค.-ก.พ. และกลางไตรมาส 3 ถึงต้นไตรมาส 4 ซึ่งถือเป็น Golden Week ของจีน โดยในช่วงต้นปีบริษัทได้เสีย Opportunity นักท่องเที่ยวจีนไป แต่เชื่อว่าหลังสถานการณ์คลี่คลายลง และการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีนกลับมาอีกครั้ง
บริษัทเตรียมดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาด โดยวางกรอบไว้ในช่วงปลายไตรมาส 2/63 ถึงต้นไตรมาส 3/63 และอาจจะต่อไปถึงไตรมาส 4/63 เน้นไปยังกลุ่มลูกค้าที่มีการจองผ่าน OTA หรือ Online Travel Agency ส่วนลูกค้า wholesale หรือยุโรป ก็จะมีการทำแคมเปญในช่วงปลายไตรมาส 4/63 ต่อไปจนถึงปี 64 ซึ่งจะส่งผลทำให้รายได้ของบริษัทกลับมาเติบโตได้ รวมถึงการลดต้นทุนต่างๆ เช่น ลดการปรับปรุงทรัพย์สินที่ไม่จำเป็น เป็นต้น
สำหรับสัดส่วนกลุ่มลูกค้า OTA คิดเป็น 25-30%, ลูกค้ายุโรปคิดเป็น 40% ที่เหลือเป็นลูกค้าไดเร็คบุ๊คกิ้ง
นายชัยรัตน์ กล่าวว่า ด้านแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/63 มองว่าช่วงครึ่งแรกยังคงปกติดีอยู่ แต่ในครึ่งหลังจะได้รับผลกระทบจากเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่อย่างไรก็ตามบริษัทเตรียมบันทึกกำไรพิเศษจากการขายหุ้น 50% ของ S Hotels and Resorts (SC) Co.,Ltd. (SHR SC) ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโครงการโรงแรมแบบ High-end lifestyle resort บนเกาะ 3 ของโครงการ Crossroads และเป็นบริษัทย่อยของ SHR ให้กับบริษัท Wai Eco World Developer Pte.Ltd. (EWD) โดยได้รับเงินเข้ามาเป็นจำนวนราว 16 ล้านเหรียญฯ เพื่อนำเงินไปลงทุนบนเกาะ 3 ในอนาคตต่อไป
ขณะที่บริษัทยังมองหาการเข้าลงทุนซื้อกิจการที่น่าสนใจอย่างต่อเนื่อง โดยวางงบลงทุนไว้ 4,000-6,000 ล้านบาทต่อปี จากปัจจุบันที่มีความสามารถในการกู้ยืมเงินจากสถาบันทางการเงินคิดเป็นวงเงินราว 10,000-20,000 ล้านบาท โดยปีนี้การลงทุนปีนี้ก็ขึ้นอยู่กับดีลนั้นๆ ว่าจะมีความน่าสนใจเพียงใด