"ทริส"จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่ KK ที่ระดับ “A-" แนวโน้ม “Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday March 12, 2008 08:54 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดเดิมของ ธนาคารเกียรตินาคิน (KK) 
คงเดิมที่ระดับ “A-" พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 4,000 ล้านบาทของธนาคารที่ระดับ “A-" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"
โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงการเป็นธนาคารเพื่อรายย่อยที่ได้รับการยอมรับ คณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์ และความสามารถในการทำกำไร ธนาคารมีความสามารถในการขยายฐานธุรกิจเพื่อทดแทนธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ลดขนาดลงเรื่อยๆ โดยเห็นได้จากอัตราการเติบโตของสินทรัพย์ที่ต่อเนื่อง ธนาคารมีเงินทุนสำรองในระดับที่แข็งแกร่งพอที่จะรองรับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงปัจจัยแวดล้อมในธุรกิจธนาคารพาณิชย์และการถดถอยของคุณภาพสินทรัพย์
อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากปัญหาคุณภาพสินเชื่อสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มมากขึ้นในระดับสูงและจากการที่ธนาคารมีขนาดเล็กซึ่งมีเครือข่ายสาขาที่น้อยกว่าธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่อันอาจมีผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของธนาคารในระยะยาว ภายใต้การแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมธนาคารเพื่อรายย่อย ประกอบกับการมีฐานลูกค้าในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงอาจส่งผลให้ธนาคารมีความอ่อนไหวต่อการขยายธุรกิจและการทำกำไรในอนาคต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนการคาดการณ์ว่าธนาคารจะสามารถรักษาระดับการทำกำไรภายใต้ภาวะแวดล้อมที่ผันผวนของธุรกิจการเงินซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบในระยะปานกลางและจะสามารถปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ให้ดีขึ้นจากการมีนโยบายจะขยายธุรกิจสู่ฐานลูกค้าที่มีความเสี่ยงด้านสินทรัพย์น้อยกว่า แนวโน้มอันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความสามารถของธนาคารในการดำรงเงินกองทุนที่เพียงพอจะรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลดมูลค่าสินทรัพย์จากผลของภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนด้วย อย่างไรก็ตาม หากคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญก็อาจส่งผลกระทบในทางลบต่อแนวโน้มหรืออันดับเครดิตของธนาคารได้
ทริสเรทติ้งรายงานว่า เนื่องจากธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและสินทรัพย์รอการขายของธนาคารเกียรตินาคินจะทยอยลดขนาดลงจนหมดภายใน 3-8 ปีข้างหน้า ผู้บริหารของธนาคารจึงหันมาเน้นการเพิ่มสินทรัพย์โดยดำเนินธุรกิจให้กู้ยืมที่ให้ผลตอบแทนสูง อาทิ สินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์
โดย ณ เดือนธันวาคม 2550 ธนาคารมีสัดส่วนของสินเชื่อเช่าซื้อในระดับ 64% ของสินเชื่อทั้งหมด หรือ 47% ของสินทรัพย์รวม ธนาคารมีสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ต่อสินทรัพย์ทั้งหมดลดลงจาก 18% ณ สิ้นปี 2549 เหลือ 16% ณ สิ้นปี 2550 ธุรกิจหลักทั้ง 3 ประเภทของธนาคาร (การลงทุนและการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ สินเชื่อเช่าซื้อ และสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์) ช่วยสร้างรายได้และคงอัตราผลตอบแทนในระดับสูง ธนาคารมีอัตราส่วนสินเชื่อจัดชั้นที่ค้างชำระเกิน 3 เดือน (ชั้นปกติ ชั้นสงสัย และชั้นสงสัยจะสูญ) ต่อสินเชื่อรวมลดลงเล็กน้อยจากระดับ 14.5% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2549 เป็น 12.4% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2550 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าวนับว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยในระดับ 8.2% ของธนาคารพาณิชย์ไทยทั้ง 14 แห่ง
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า คุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารเกียรตินาคินได้รับผลกระทบจากสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างมาก โดยธนาคารมีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในสัดส่วนที่สูงมากถึง 63% ของฐานสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ทั้งหมด (5.4 พันล้านบาทจากทั้งหมด 8.5 พันล้านบาทเมื่อสิ้นเดือนธันวาคม 2550) จากผลของการเปลี่ยนวิธีการบันทึกบัญชีสำหรับเงินลงทุนในบริษัทย่อยจากวิธีส่วนได้เสียเป็นวิธีราคาทุนซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2550 ทำให้ธนาคารมีสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (สินเชื่อจัดชั้นที่ค้างชำระเกิน 3 เดือน ยอดคงค้างสินเชื่อที่ปรับโครงสร้างหนี้ และสินทรัพย์รอการขาย) คิดเป็น 1 เท่าของเงินกองทุนและค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของธนาคารซึ่งสูงกว่าระดับ 0.8 เท่า ณ สิ้นปี 2549
นอกจากนี้ การเปลี่ยนวิธีการบันทึกบัญชีดังกล่าวยังส่งผลให้ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงลดลงจาก 22.2% ในปี 2549 เป็น 16.4% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2550 การที่ธนาคารมีนโยบายปล่อยสินเชื่อแก่กลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงสูงเพื่อผลตอบแทนที่สูง โดยเฉพาะสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์นั้น ธนาคารมีความจำเป็นที่จะต้องดำรงเงินกองทุนที่แข็งแกร่งและตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญให้สูงเพียงพอที่จะบรรเทาความเสี่ยงที่อาจจะเผชิญในอนาคต ทริสเรทติ้งกล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ